NER วิ่ง 3 วันพุ่ง 5% โบรกเชียร์ “ซื้อ” เป้า 9.90 บ. อัพกำไรปีนี้ทะลุ 2 พันลบ.

NER วิ่ง 3 วันพุ่ง 5% โบรกเชียร์ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 9.90 บ. อัพกำไรปีนี้ทะลุ 2 พันลบ. พร้อมแนวโน้มอุตสาหกรรมยางคาดยังดีต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ณ เวลา 10:39 น. อยู่ที่ระดับ 6.90 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 0.73% สูงสุดที่ระดับ 6.90 ต่ำสุดที่ระดับ 6.85 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 13.17 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น NER ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 นับตั้งแต่ราคาปิดที่ระดับ 6.55 บาท เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมา 0.35 บาท หรือคิดเป็น 5%

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (27 พฤษภาคม 2565) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 9.90 บาท โดยทางฝ่ายคาดช่วงที่เหลือของปี ปริมาณขายจะทยอยเพิ่มขึ้นจากการทยอยส่งมอบให้ลูกค้าใหม่ในกลุ่มยางล้อในประเทศที่เริ่มส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา

ส่วนต่างประเทศคาดจะเห็นการส่งออกเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะลูกค้าใหม่จากอินเดียที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีการขายล่วงหน้าไปถึงเดือนตุลาคมแล้ว โดยผู้บริหารยังคงเป้าปริมาณขายไว้ดังเดิมที่ 500,000 ตัน แต่แนวโน้มปริมาณขายในไตรมาส 1/2565 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด

อีกทั้งการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ยังส่งผลกระทบต่อการส่งออกในบางช่วง ซึ่งกระทบต่อการส่งออก และความล่าช้าของการขยายกำลังการผลิต

ทั้งนี้ ทำให้ทางฝ่ายปรับลดปริมาณขายลง 4% จากเดิมเหลือ 481,991 ตัน เพิ่มขึ้น 7% เทียบกับปีก่อน แต่ปรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากเดิม

จากแนวโน้มราคายางที่ยังทรงตัวในระดับสูง และสัดส่วนการขายยางแบบ Spot มากขึ้นจะช่วยให้มาร์จิ้นดีขึ้น ทำให้ปรับมาร์จิ้นขึ้นจากเดิม และปรับกำไรสุทธิเป็น 2,043 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับในช่วงไตรมาส 1/2565 บริษัทมีการใช้กำลังการผลิตราว 81% ของกำลังการผลิตที่ 465,600 ตัน และอยู่ระหว่างขยาย

กำลังการผลิต STR20 เพิ่ม 50,000 ตัน ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 515,600 ตัน จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2565 ใช้เงินลงทุนราว 70 ล้านบาท ซึ่งช้ากว่าแผนเดิมจากปัญหาโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ ส่งผลต่อการนำเข้าเครื่องจักร ซึ่งหากพิจารณากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 515,600 ตัน อาจไม่เพียงพอต่อการเติบโตในอนาคต
โดยเบื้องต้นบริษัทจะมีกำลังการผลิตส่วนเพิ่มจากการจ้างข้างนอกผลิตให้ราว 40,000 ตัน/ปี ซึ่งจะมีผลให้ปี 2566 กำลังการผลิตเป็น 555,600 ตัน ส่วนการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่จะมีการพิจารณาอีกครั้ง หากได้คำสั่งซื้อระยะยาวจากลูกค้าใหม่ๆ ราว 100,000 ตัน/ปี

ขณะที่โครงการแผ่นปูรองปศุสัตว์อยู่ระหว่างรอเครื่องจักรเข้ามาและคาดจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป โดยมีกำลังการผลิต 1 ล้านแผ่นต่อปี

สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมยางคาดยังดีต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หนุนให้อุปสงค์ดีขึ้น โดย IRSG คาดการณ์อุปสงค์ยางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนที่ 14.29 ล้านตัน แต่อุปทานเพิ่มขึ้น 3.5% ที่ 14.27 ล้านตัน ทำให้ยังมีอุปทานส่วนขาดราว 0.02 ล้านตัน อีกทั้งไทยยังได้ผลบวกจากโรคใบร่วงในอินโดนีเซีย ซึ่งทำให้อุปทานยางในประเทศดังกล่าวหายไป และทำให้ราคายางในอินโดนีเซียแพงกว่าราคา SICOM ราว 15 เซนต์/กิโลกรัม ส่งผลให้มีการย้ายคำสั่งซื้อจากอินโดนีเซียมาไทย

โดยเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้อุปสงค์ดีขึ้น รวมถึงปัจจัยล่าสุดที่จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดหย่อนภาษี 6 หมื่นล้านหยวน สำหรับซื้อรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งจะช่วยให้การขายยางในจีนดีขึ้น และเป็นบวกต่อ NER จากการที่จีนเป็นลูกค้าสำคัญของบริษัท

Back to top button