IP บวก 5% รับผนึกอินโนบิก รุกธุรกิจสุขภาพครบวงจร มั่นใจปีนี้รายได้โตเท่าตัว 1.8 พันลบ.

IP บวก 5% รับผนึกอินโนบิก รุกธุรกิจสุขภาพครบวงจร ผ่าน 7 โครงการ เริ่มดำเนินการไตรมาส 4/65 มั่นใจปีนี้รายได้โตเท่าตัว 1.8 พันลบ. แนะซื้อเป้า 26.26 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(8มิ.ย.2565)บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ IP ณ เวลา 11:10 น. อยู่ที่ระดับ 21.20 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 4.95% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 70.62 ล้านบาท

ดร.ตฤณวรรธน์ ธนิตนิธิพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  IP เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565 บริษัทได้ลงนามสัญญาบันทึกความร่วมมือกับบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ผ่านการลงทุนจาก บริษัท อินโนบิก แอลแอล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาว (Long Term Strategic Partner) นับเป็นอีกความร่วมมือครั้งสำคัญในการขยายธุรกิจสุขภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

โดยการร่วมมือดังกล่าว จะดำเนินงานภายใต้ 7 โครงการความร่วมมือ (Partnership Projects) ดังนี้ 1.การร่วมลงทุนโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ยาตาจากยุโรป เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของโรงงานอินเตอร์ ฟาร์มา จ.พระนครศรีอยุธยา ให้สามารถผลิตยาตาที่มีมาตรฐานสากล พร้อมส่งออกไปจำหน่ายได้ทั่วโลก เนื่องจากโรงงานในประเทศไทยมีผู้ผลิตได้น้อยมาก โดยเฉพาะตลาดยุโรป และสหรัฐอเมริกา ,2การใช้โรงงานอินเตอร์ฟาร์มา เพื่อเป็นทางเลือกการวิจัย และพัฒนา และการผลิตเวชภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทเวชภัณฑ์ระดับโลก

3.การใช้โรงงาน อินเตอร์ฟาร์มา และโรงงานโมเดิร์น ฟาร์มา เป็นฐานการผลิตเวชภัณฑ์ และอาหารเสริมสุขภาพของบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ,4.การร่วมมือในการขยายเครือข่าย LAB PHARMACY ไปยังเครือข่ายของ PTT เพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น และสอดรับกับนโยบายรัฐ ,5.การร่วมกันพัฒนา และขยายตลาดเครื่องดื่มสมุนไพร เพื่อจัดจำหน่ายในเครือของ PTT เช่น เครื่องดื่มพืชกระท่อม ที่มีฤทธิ์ทางยา และการแพทย์ ซึ่งมุ่งหวังที่จะขยายทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายของเครือ PTT และพันธมิตร ,6.การขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพไปต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายของบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด และ IP และ 7.การร่วมกันขยายช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคผ่านรูปแบบ Digital Platform ทั้ง Telepharmacy และ Telmedicine ซึ่งการร่วมมือทั้ง 7 โครงการจะสรุปแผนงานที่ชัดเจนออกมาอีกครั้งหลังจากการประชุมแผนงานในอนาคตอันใกล้นี้

สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ นับเป็นพันธมิตรที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศ และภาพรวมการเติบโตของ IP อย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเห็นความชัดเจน และทยอยดำเนินการทั้ง 7 โครงการ ได้ในช่วงไตรมาส 4/2565 เบื้องต้นเริ่มแรกน่าจะเห็นความชัดเจนในส่วนของรับจ้างผลิต การขยายร้านขายยา และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เป็นต้น

“อินโนบิกจะร่วมมือกันตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งผลิตภัณฑ์นวัตกรรม หรือไบโอเมดิคัลโปรดักต์ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ยาสามัญทั่วไป โภชนเภสัช และอาหารเสริม รวมไปถึงอาหาร และเครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพ ซึ่งการมีพันธมิตรธุรกิจอย่างอินโนบิก น่าจะช่วยให้รายได้เติบโตมากกว่าและเร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้” ดร.ตฤณวรรธน์ กล่าว

ด้านแผนการดำเนินงานในระยะเวลา 5 ปี (2565-2570) ที่บริษัทวางเป้าหมายรายได้รวมเติบโตแตะ 5,000 ล้านบาท น่าจะสามารถทำได้เร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ หลังร่วมมือกับทางอินโนบิกฯ พร้อมทั้งเชื่อว่าจะเห็นการเติบโตทั้งรายได้ และกำไรมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

โดยในปี 2565 บริษัทยังคงเป้าหมายมีรายได้รวม 1,800 ล้านบาท เติบโตเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้รวม  920 ล้านบาท สอดคล้องกับทุกธุรกิจขยายตัวได้ดี ทั้งผลิตภัณฑ์เดิม และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กระตุ้นตลาดต่อเนื่อง อีกทั้งการรับรู้รายได้จากโรงงานผลิตยา จ. พระนครศรีอยุธยาเต็มปี รวมไปถึงเริ่มบันทึกงบของธุรกิจร้านขายยา 20 สาขา เข้ามาเสริมพอร์ต และเตรียมขยายเพิ่มอีกอย่างน้อย 6 สาขา

นอกจากนี้ ในอนาคตอาจจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติม เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร 2-3 ราย จากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น น้ำตาล เนื่องจากหลายบริษัทมีความสนใจในธุรกิจเฮลท์แคร์ อย่างไรก็ตามความร่วมมือจะเกิดขึ้นต้องมีประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย

ส่วนการออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด หรือ Private Placement (PP) ให้แก่พันธมิตรอินโนบิกฯ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งปัจจุบันได้มีการแจ้งทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว และรอการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น ซึ่งจะมีการเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 นี้

ดังนั้นเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จคาดว่าจะได้เงินสนับสนุนประมาณ 1,000 ล้านบาท รองรับใน 7 โครงการข้างต้น โดยจะส่งผลให้อินโนบิกฯ ขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 รองจากตนเองที่ถือหุ้นอันดับ 1 ในสัดส่วน 39% ซึ่งผลกระทบจากการเพิ่มทุน มีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น เกิด Dilution ทำให้ตนเองจะมีสัดส่วนการถือหุ้นลดลงอยู่ที่ 31%

ด้านดร. บุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ PTT และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการผนวกรวมศักยภาพการแข่งขันและความเชื่อมโยงทางกลยุทธ์ ทั้งความเชี่ยวชาญ ทักษะการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบุคลากร การแสวงหากระบวนการผลิต และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย สามารถผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้บริโภค ตลอดจนร่วมมือกันขยายช่องทางการทำตลาดและการขายให้แข็งแกร่ง

นอกจากนี้ ยังต่อยอดการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่เวชกัณฑ์ที่ใช้กับนวัตกรรมทางยา โภชนเภสัชและอาหารเสริม ยาสมุนไพรของไทย อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพื่อพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายเชิงพานิชย์ได้สำเร็จ พร้อมขยายตลาดให้ครอบคลุม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นการเพิ่มมูลค่าความหลากหลายทางชีวภาพ ที่จะช่วยผลักดันภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย

“อินโนบิกฯ มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิตผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าร่วมเข้าลงทุนใน IP ครั้งนี้ จะสามารถวิจัย พัฒนา พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคได้ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้ โดย IP ถือเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำ ที่อินโนบิกฯ ได้เข้าไปร่วมลงทุน” ดร.บุรณิน กล่าว

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(8 มิ.ย.2565) ว่า IP (เป้า Consensus 26.6 บาท) ประเมินแนวโน้มประมาณการฯปี 2566 มี Upside จากความร่วมมือกับทางพันธมิตร บ. อินโนบิก (กลุ่ม PTT) ที่จะเข้ามาถือหุ้นเพิ่มทุน 20% (ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติ 20 ก.ค. นี้)

โดยวานนี้มีการลงนามความร่วมมือ โดยสรุปคาด IP จะได้ประโยชน์ 1) การใช้กำลังการผลิตโรงงานผลิตยาและอาหาร เสริมของทาง IP ii) เพิ่มช่องทางจำหน่ายยาและอาหารเสริมในเครือข่ายกลุ่ม PTT” ทั้งในและ ต่างประเทศ เป็นต้น

โดยปัจจุบัน Consensus คาด EPS (รวมผลของ Dilution effect) ปี 2565–66 โต 64% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 34% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโต 48% CAGR (2564-66) 3) Valuation ไม่แพง Forward PE ปีนี้ 34 เท่า และจะลดลงเหลือ +/-26 เท่าในปีหน้า

Back to top button