GLOCON บวกแรง 4% มั่นใจปีนี้พลิกกำไร-แย้มแจกปันผลต้นปีหน้า

GLOCON บวกแรง 4% มั่นใจปีนี้พลิกกำไร-แย้มแจกปันผลต้นปีหน้า พร้อมลุยส่ง "อาหารผสมกัญชง" บุกตลาด Q3 ปักธงยอดขาย 100 ล้านบาทต่อปี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 มิ.ย. 2565) ราคาหุ้นบริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON ณ เวลา 11:20 น. อยู่ที่ระดับ 0.99 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือ 4.21% โดยทำจุดสูงสุดที่ 0.99 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 0.94 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 89.06 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ นายนพพร ภัทรรุจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GLOCON เปิดเผยว่า GLOCON ในฐานะบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil)  และใบอนุญาตผลิตอาหารประเภทอาหารควบคุมเฉพาะ ได้แก่ เมล็ดกัญชง, น้ำมันจากเมล็ดกัญชง, โปรตีนจากเมล็ดกัญชง และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของเมล็ดกัญชง, น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือโปรตีนจากเมล็ดกัญชง (เฉพาะน้ำมันจากเมล็ดกัญชง) รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย พร้อมลั่นกลองรบเดินหน้ายึดหัวหาดอุตสาหกรรมอาหารผสมกัญชงเมืองไทยอย่างเต็มรูปแบบ หลังล่าสุดภาครัฐได้ประกาศปลดล็อกกัญชง-กัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ประเภท 5 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา

โดยบริษัทเตรียมส่งผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน (Ready To Eat) ผสมกัญชง ประเดิมด้วยเมนูยอดฮิต อาทิ ลาบทอด และข้าวกระเพรา ทดสอบดีมานด์ตลาดช่วงไตรมาส 3/2565 หลังจากคิดค้นพัฒนาสูตรผสมได้อย่างลงตัวในหลากหลายเมนู ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอขึ้นทะเบียนจดแจ้งเลขตำรับอาหาร เบื้องต้นคาดว่า ภายในสิ้นเดือน มิถุนายนนี้จะแล้วเสร็จ พร้อมลุยตลาดได้อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายพันธมิตรหลัก “ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่” ก่อนจะขยายไปยังโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม

ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้ปี 2565 ที่ 3,000 ล้านบาท เติบโต 57% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,862.27 ล้านบาท และประเมินว่าจะมีกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ 15-16% และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 5-6% โดยบริษัทมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หลายรายการตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 นี้เป็นต้นไป รวมทั้งประเมินสภาวะตลาดปัจจุบันที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายลง มั่นใจว่าบริษัทจะสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายในปีนี้ รวมทั้งมีแผนที่จะล้างขาดทุนสะสมได้ทั้งหมดในปี 2565 และผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไรจากปี 2564 ที่ขาดทุนสุทธิ 166.63 ล้านบาท และเริ่มจ่ายปันผลได้ในไตรมาส 1/2566 (ม.ค.-มี.ค. 66)

ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทมีแผนให้ทุกหน่วยธุรกิจ (BU) มียอดขายแตะระดับ 1,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ธุรกิจอาหารแปรรูปจะมียอดขายแตะที่ 1,000 ล้านบาทเป็นธุรกิจแรก พร้อมรุกตลาดอาหารที่ทำจากพืช (Plant Based) สู่ต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาที่จะเริ่มวางจำหน่ายกลางปีนี้ หลังจากที่ทำตลาดในประเทศอังกฤษแล้วได้รับการตอบรับที่ดีมาก รวมทั้งกรณีวิกฤติโลกขาดแคลนอาหาร ที่จะเป็นอีกปัจจัยหนุนต่อบริษัท เพราะจะเริ่มมีการซื้อสินค้าสต๊อกไว้รับประทาน ซึ่งอาหารแช่แข็งของบริษัทจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีเพราะมีอายุการเก็บรักษาได้ถึง 2 ปี

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนรุกตลาดธุรกิจผลไม้อบแห้งแบรนด์ Viiva ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัทเอง ซึ่งจะเน้นส่งออกต่างประเทศเช่นกัน และขณะนี้ได้เริ่มส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีแล้ว โดยวางเป้ายอดขายธุรกิจผลไม้อบแห้งที่ 605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23% ด้านธุรกิจหีบห่อ (Packaging) นั้น ยังคงเติบโตดีต่อเนื่องเช่นกัน เพราะลูกค้าของบริษัทเติบโตดีขึ้นตามภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายลง โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย Packaging ที่ 742 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9%

ขณะเดียวกัน จากการที่ GLOCON เข้าซื้อกิจการ บริษัท พงษ์-ศรา แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และบริษัท พงษ์-ศรา ดิสทริบิวชั่น จำกัด ภายใต้แบรนด์ลูกชิ้นทิพย์ ยังเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในปีนี้ โดยบริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากยอดขายลูกชิ้นทิพย์ตั้งแต่เดือน มีนาคมที่ผ่านมา และปีนี้มีแผนขยายสาขาในลักษณะแฟรนไชส์ในสถานีบริการน้ำมันของพันธมิตร คือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่มีสถานีบริการ 2,000 สาขาทั่วประเทศ และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ที่มี 1,200 สาขาทั่วประเทศ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อตั้งคีออส และตั้งเป้าว่าปีนี้แบรนด์ลูกชิ้นทิพย์ จะมียอดขาย 650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.4% จากปีก่อน

นายนพพร กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทยังมีแผนเข้าซื้อกิจการอีก 2 แห่งที่เกี่ยวกับธุรกิจอาหาร ล่าสุดอยู่ระหว่าเจรจาคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มรับรู้รายได้ต้นปี 2566 ส่วนกรณีที่ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นจากภาวะราคาน้ำมันแพงนั้น ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อบริษัทเช่นกัน แต่มั่นใจว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ โดยบริษัทใช้วิธีบริหารการจัดซื้อให้ได้ราคาดีที่สุดและปรับเพิ่มราคาขายกับลูกค้า

Back to top button