SCB บวกต่อ 3% โบรกชี้จังหวะ “ซื้อ” เป้า 140 บ. อัพกำไรปี 65-66 ขึ้น 3%
SCB วิ่งต่อ 3% โบรกชี้อกาสดีในการเข้า “ซื้อ” เป้า 140 บ. หลังกำไรไตรมาส 2/65 เป็นไปตามคาดทะลุ 1 หมื่นล้านบาท เหตุคุณภาพสินทรัพย์ต่ำคาด ปักหมุดเพิ่มกำไรปี 65-66 ขึ้น 2-3%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ก.ค. 65) ราคาหุ้นบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ณ เวลา 10:27 น. อยู่ที่ระดับ 97.25 บาท บวก 3.25 บาท หรือ 3.46% ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 97.50 บาท ทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 95.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,989.19 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.ค.65) ว่าราคาหุ้น SCB มีการปรับตัวลดลง 26% จากต้นปีถึงปัจจุบัน มองเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อหุ้น เนื่องจากตลาดกังวลประเด็นผลขาดทุน Mark to market จากการลงทุนของ SCB10x โดย CFO เผยว่า SCB จำกัดการลงทุนในเงินร่วมลงทุนทั้งหมดไว้ที่ 110 ล้านเหรียญสหรัฐ ราคาหุ้นปัจจุบันเริ่มน่าสนใจเนื่องจากซื้อขายที่ PE ปี 65 ที่ 8 เท่า
ขณะที่กำไรไตรมาส 2/65 เป็นไปตามคาด ด้วยคุณภาพสินทรัพย์ต่ำคาด ซึ่ง SCB บันทึกกาไร Mark to market ที่ 2.7 พันล้านบาท ขณะที่ตลาดกังวลว่าจะขาดทุนจากการลงทุนในไตรมาส 2/65 โดยกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ทรงตัวจากไตรมาสก่อน สำหรับกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจาก NII ที่สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์และตลาดคาด
ขณะเดียวกันสินเชื่อเติบโต 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 1% จากไตรมาสก่อน หนุนโดยสินเชื่อองค์กรและสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ขณะที่ NIM เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน เป็น 3.19% จากผลตอบแทนเงินกู้ที่สูงขึ้น Opex เพิ่มขึ้น 4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายสถานที่และพนักงานที่สูงขึ้น อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน จาก 42.2% ใน 2/64 เป็น 41.2% ใน 2/2565 SCB บันทึกผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดจะเกิดขึ้น (ECL) ที่ 1.0 หมื่นล้านบาท (ต้นทุนเครดิต 175%) เพิ่มขึ้น 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 17% จากไตรมาสก่อน อัตราส่วน NPL ลดลง 23% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 4.34% จากการก่อตัวขึ้นใหม่ของ NPL ที่ชะลอตัว ส่วน NPL coverage เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เป็น 152% ใน 2/2565 จาก 143% ใน 1/2565
ในแง่บวก SCB ปรับเพิ่มเป้าหมาย NIM ปี 65 ขึ้น 20% เป็น 3.1-3.2% (เพื่อสะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่งของ nii จากอัตราการเก็บเงินสดที่เพิ่มขึ้นและการปรับโครงสร้างหนี้ที่น้อยลง) และปรับลดอัตราส่วน NPL ลงเหลือน้อยกว่า 3.6% จาก 4% ก่อนหน้านี้ ในแง่ลบธนาคารได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตของ non-nii เป็นลบจากตัวเลขหลักเดียวที่ต่ำ (จากค่าธรรมเนียมตลาดทุนที่อ่อนแอ) และปรับเป้าหมายต้นทุนสินเชื่อเป็นน้อยกว่า 1.45% จาก1.40% ในปี 65
อย่างไรก็ดีทาง CFO มองเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในความสามารถของลูกค้าในการชาระหนี้ เนื่องจากการจ่ายเงินสดในไตรมาส 2/65 แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดโรคระบาดในปี 63 ดังนั้น ธนาคารคาดว่าปริมาณสินเชื่อที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้จะมีปริมาณน้อยกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.50 แสนล้านบาท ทางฝ่ายวิจัยเพิ่มคาดการณ์กาไรปี 65-66 ขึ้น 2-3% เพื่อสะท้อนเป้าหมายทางการเงินใหม่ NIM และ opex ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่สูงขึ้น ทั้งนี้ SCB มีแนวโน้มที่จะบันทึกค่าใช้จ่ายภาษีครั้งเดียวที่ 2.2 พันล้านบาทและ opex แบบจ่ายครั้งเดียวอีก 2 พันล้านบาทในครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้เพิ่มคาดการณ์รายได้ปี 65-66 เพื่อสะท้อนเป้าหมายทางการเงินใหม่ คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 140 บาท