ทริสฯจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 1.3 หมื่นลบ.SPCG ที่ “A-” แนวโน้ม”Stable”
ทริสฯจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 1.3 หมื่นลบ.SPCG ที่ "A-" แนวโน้ม"Stable"
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 13,000 ล้านบาทของ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG ที่ระดับ “A-” นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้มีผู้ค้ำประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นของบริษัท เป็น “A-” จากเดิมที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่”
ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้โครงการ (Project Loan) ของบริษัทย่อยทั้งหมด และนำไปใช้สำหรับการดำเนินงานปกติของบริษัท
หลังจากที่นำเงินไปชำระคืนหนี้โครงการทั้งหมดด้วยหุ้นกู้ชุดใหม่นี้แล้ว หลักประกันต่าง ๆ ภายใต้สัญญาเงินกู้ของบริษัทย่อยทั้งหมดจะดำเนินการปลดและไถ่ถอน ดังนั้นภาระเงินกู้ทั้งหมดที่เหลืออยู่ของกลุ่มบริษัทจะมีสถานะเท่าเทียมกัน (Pari Passu) โดยบริษัทจะไม่มีเงินกู้ที่บริษัทลูก (Operating Company) อีกต่อไป
อันดับเครดิตดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 36 โครงการจากการมีสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement — PPA) รวม 206 เมกะวัตต์ กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวมถึงการได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่อัตรา 8 บาทต่อหน่วย (กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer — VSPP) ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ในการพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงประสบการณ์ในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของคณะผู้บริหาร รวมถึงเทคโนโลยีแบบ Photovoltaic (PV) ที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว ตลอดจนการเลือกใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Panel) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) จากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าโดยเฉลี่ยให้สูงกว่า 75% นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA อย่างน้อย 3,400-3,500 ล้านบาทต่อปี
ปัจจัยที่จะมีผลในเชิงบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทยังมีค่อนข้างจำกัดในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ในทางตรงข้ามสิ่งที่จะมีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ ผลผลิตไฟฟ้าที่ลดลงอย่างมากจนส่งผลต่อความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอย่างมีนัยสำคัญ หรือการที่โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงจากการก่อหนี้เพื่อลงทุนขนาดใหญ่
SPCG ก่อตั้งในปี 2539 ในนาม บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ในปี 2554 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) หลังจากนั้นบริษัทได้ย้ายการซื้อขายหลักทรัพย์จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2555 ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2558 ครอบครัวกุญชรยาคงเป็นผู้ถือหุ้นหลักในสัดส่วน 49% ปัจจุบันบริษัทมีฐานะเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 36 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญารวมทั้งสิ้น 206 เมกะวัตต์ ในปี 2557 รายได้ของบริษัท 91% มาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อีก 6% มาจากโรงงานผลิตหลังคาเหล็ก ส่วนที่เหลืออีก 3% มาจากการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา
โรงไฟฟ้าของบริษัทใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ทำจากซิลิคอนชนิดหลายผลึก (Multi-crystalline) ซึ่งผลิตโดยบริษัทญี่ปุ่นชื่อ Kyocera ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2525 จนถึงปัจจุบัน Kyocera ได้จำหน่ายแผงพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดนี้คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งมากกว่า 1.2 กิกะวัตต์ให้แก่โรงไฟฟ้าและครัวเรือนทั่วโลก โดยแผงพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดที่บริษัทใช้ได้รับการรับประกันประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 25 ปีจาก Kyocera นอกจากนี้ บริษัทยังเลือกใช้เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ที่ผลิตโดย SMA Solar Technology AG (SMA) สำหรับโครงการทั้งหมดโดยมีการรับประกันนาน 20 ปี ซึ่ง SMA จำหน่ายเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้ากว่า 35 กิกะวัตต์ไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 2524
ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดของบริษัทเปิดดำเนินงานแล้ว โดยโรงไฟฟ้าแห่งแรกเปิดดำเนินงานมากว่า 5 ปี ในขณะที่แห่งสุดท้ายเริ่มดำเนินงานในเดือนมิถุนายน 2557 ซึ่งโรงไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัทมีผลการดำเนินการที่ดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้โดยการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Project Feasibility Study) โดยในช่วงปี 2553 – 2557 บริษัทสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบจำนวน 717 ล้านหน่วย ซึ่งสูงกว่าประมาณการสำหรับกรณีใช้ความน่าจะเป็นที่ 50% สำหรับพลังงานไฟฟ้าที่คาดว่าจะผลิตได้ — P50 อยู่ 5.1% และสูงกว่าคาดการณ์ 12.3% กรณีใช้ความน่าจะเป็นที่ 90% — P90 ผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีกว่าเป้าหมายเป็นผลจากความเข้มของรังสีดวงอาทิตย์และประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 3,713 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงการดำเนินงานเต็มปีของทั้ง 36 โครงการ โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีเงินกู้รวม 16,322 ล้านบาท ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 18,014 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2557 ซึ่งสอดคล้องกับตารางการชำระหนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในระดับ 65.8% อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดจากภาระหนี้สินในระดับสูงนี้ถูกบรรเทาบางส่วนจากกระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่แน่นอนและคาดการณ์ได้ โดยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ที่สูงเนื่องจากได้รับ Adder และมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ต่ำ สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานถึง 79.7% และบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย อยู่ 3,009 ล้านบาท สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2558
สำหรับกรณีฐานของทริสเรทติ้งนั้นใช้ความน่าจะเป็นที่ 90% สำหรับพลังงานไฟฟ้าที่คาดว่าจะผลิตได้ (P90) และประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าเฉลี่ยที่ 77.5% ซึ่งคาดว่าบริษัทจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 340-350 ล้านหน่วยต่อปี และคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA ประมาณ 3,400-3,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2558-2563 และตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไปคาดว่า EBITDA จะค่อย ๆ ลดลงเนื่องจากการทยอยหมดอายุของ Adder และคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 60%-65% ภายในปี 2559