IVL วิ่ง 3% โบรกเล็งอัพกำไรปี 65 หลังงบ Q2 โตเกินคาด เคาะเป้า 60 บ.
IVL วิ่งฉิว 3% หลังโชว์กำไรไตรมาส 2/65 โตเกินคาดที่ระดับ 2 หมื่นลบ. ฟากโบรกเล็งปรับกำไรรอบใหม่ พร้อมเคาะราคาเป้าหมาย 60 บ. อัพไซด์สูง 30%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 ส.ค.65) ราคาหุ้น บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ณ เวลา 15:43 น. อยู่ที่ระดับ 44.25 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 2.91% สูงสุดที่ระดับ 44.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 43.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.71 พันล้านบาท
ทั้งนี้ IVL รายงาน Core EBITDA ที่ระดับ 758 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เมื่อเทียบปีต่อปี รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 11 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสโดยอ้างอิงจากธุรกิจที่ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งส่งผลให้มี Core EBITDA margin ร้อยละ 14
นอกจากนี้ ปัจจัยเกื้อหนุนจากยอดขายที่แข็งแกร่งและกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นช่วยชดเชยภาระต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ในขณะที่ทีมผู้บริหารได้ยกระดับตำแหน่งผู้นำของบริษัทฯ ทั้งในตลาดท้องถิ่นและภูมิภาค เพื่อให้มั่นใจว่าการให้บริการลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบ แม้ในสถานการณ์ที่การปรับตัวของราคาน้ำมันดิบส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบ
โดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 2 ส่งเสริมกำไรของบริษัทฯ ที่สร้างประวัติการณ์ไว้ในปี 2564 ด้วยบริษัทฯ มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มของผู้บริโภคระดับมหภาคในระยะยาว ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของไอวีแอล ถูกใช้ในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และมีความยืดหยุ่นต่ออุปสรรคทางเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยเสถียรภาพที่เกิดขึ้นจากลักษณะผลิตภัณฑ์นี้ ส่งผลให้ทีมผู้บริหารสามารถมุ่งเน้นกลยุทธ์การเติบโตระยะยาวของบริษัทฯ ที่ต้องการพัฒนาตำแหน่งความเป็นผู้นำระดับโลกที่มีความเฉพาะตัวตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าปิโตรเคมีแบบบูรณาการ ตัวอย่างเช่น การเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ในละตินอเมริกาและเวียดนามในไตรมาสที่ 2 ซึ่งส่งผลให้ไอวีแอลมีการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 12
นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า ไอวีแอลเป็นผู้นำตลาดของแต่ละพื้นที่ธุรกิจหลักของเราในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีโอกาสการเติบโตในระยะยาวอย่างมั่นคง อย่างที่ได้แสดงให้เห็นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักว่าคุณสมบัติเฉพาะของรูปแบบการดำเนินธุรกิจระดับโลกของเรามีความยืดหยุ่นและเติบโตได้ดี ทำให้เราสามารถมุ่งเน้นแผนงานระยะยาวของเรา ในขณะเดียวกันก็สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้นได้อย่างรวดเร็ว
อาทิ ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่ยังมีผลต่อเนื่องมาในปี 2565 สิ่งเหล่านี้ประกอบกับการให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องต่อการบริหารจัดการต้นทุน ตลอดจนการปรับเปลี่ยนองค์กรด้านต่างๆ อย่าง โครงการ Olympus ช่วยให้เราสามารถพัฒนาผลการดำเนินงานของเราในไตรมาสที่ 2 ได้
กลุ่มธุรกิจ Combined PET ซึ่งใหญ่ที่สุดในสามกลุ่มธุรกิจของไอวีแอล รายงาน Core EBITDA อันแข็งแกร่ง จำนวน 431 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบปีต่อปี และลดลงร้อยละ 1 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ด้วยกำไรที่มีสัดส่วนสูงอันเนื่องมาจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งตามฤดูกาล ข้อจำกัดต่างๆ ของห่วงโซ่อุปทาน และความฝืดตัวของตลาดโดยรวม รายได้จากการขยายเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสโดยอ้างอิงจากธุรกิจที่ดำเนินการอยู่แล้ว ในเดือนเมษายน บริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการ Ngoc Nghia Industry ซึ่งเป็นบริษัทบรรจุภัณฑ์ PET ชั้นนำในประเทศเวียดนาม ช่วยขยายการให้บริการผลิตภัณฑ์แบบบูรณการของไอวีแอลต่อลูกค้าทั่วทั้งเอเซีย
กลุ่มธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) มี Core EBITDA 250 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 98 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรสมาส และเพิ่มขึ้นร้อยละ 152 เมื่อเทียบปีต่อปี ความแข็งแกร่งในตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล และโซลูชั่นสำหรับพืชผลทางการเกษตร ช่วยผลักดันกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำแบบบูรณาการของกลุ่มธุรกิจ IOD ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์กลางน้ำแบบบูรณาการมีอุปสรรคจากกำไรของการผลิตเอทิลีนที่ลดลง กำไรของการผลิต MEG แบบบูรณาการที่น้อยเป็นประวัติการณ์ และการหยุดดำเนินการเพื่อปรับปรุงตามแผนงานของหน่วยผลิต EO สองแห่ง อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการ Oxiteno ซึ่งมีสำนักงานหลักอยู่ในบราซิลเมื่อเดือนเมษายน ช่วยเพิ่ม Core EBITDA จำนวน 85 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่ไอวีแอลในไตรมาสที่ 2 เนื่องด้วยอุปสงค์จำนวนมากต่อผลิตภัณฑ์สารลดแรงตึงผิว และความสามารถของทีมผู้บริหารในการส่งต่อต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
กลุ่มธุรกิจ Fibers รายงาน Core EBITDA 55 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 35 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลงร้อยละ 15 เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากการขายลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส กลุ่มธุรกิจได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Lifestyle ท่ามกลางมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศจีน ในขณะที่อัตราขนส่งสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจำกัดการส่งออก สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Hygiene ได้รับผลกระทบด้านปริมาณจากฐานการผลิตของบริษัท Agvol ในประเทศรัสเซีย ประกอบกับราคาพอลิโพรไพลีนที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ความแข็งแกร่งของตลาดยางสำหรับเปลี่ยนทดแทนมีส่วนช่วยชดเชยการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลกระกอบการของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Mobility คงตัว
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ต่อ IVL ที่ราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 60.0 บาท/หุ้น พร้อมคงมุมมองแม้กำไรจะทำจุดสูงสุดในไตรมาส 2/65 แต่กำไรในครึ่งปีหลังยังเติบโตจากปีก่อน และอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังในอดีต หนุนจากอัตรากาไรธุรกิจ PET ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
โดยเฉพาะส่วนของการขายแบบ contract (ราว 50% ของทั้งหมด) ที่ลดผลกระทบจากต้นทุนพลังงานได้ และแรงหนุนซื้อกิจการ (Oxiteno) โดยมองราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 65-67 และ ROE ราว 15 23% ที่สูงกว่าในช่วงปี 58-64 ราว 2-20% โดย implied PBV ปี 65-67 ณ ราคาปัจจุบันที่ 45.75 บาท/หุ้น อยู่ที่ราว 1.4 1.1 เท่า Vs. ช่วง 58-64 ที่ 1.3 2.6 เท่า
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิครึ่งปีแรกของ IVL คิดเป็น 87% ของประมาณการทั้งปีที่ 3.9 หมื่นล้านบาท และปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับประมาณการขึ้น