VGI บวก 4% โบรกแนะซื้อเป้า 5.50 บาท ลุ้นผลงานปี 65/66 “เทิร์นอะราวด์”

VGI บวก 4% โบรกแนะซื้อเป้า 5.50 บาท ลุ้นผลงานปี 65/66 เทิร์นอะราวด์ พร้อมวางเป้ารายได้โตแตะ 6.5 พันล้าน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(26ส.ค.65)ว่า บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ณ เวลา 10:12 น. อยู่ที่ระดับ 4.52 บาท บวก 0.18 บาท หรือ 4.15% ราคาสูงสุด 4.58 บาท ราคาต่ำสุดที่ระดับ 4.34 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 74.98 ล้านบาท

โดยนายเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ VGI เปิดเผยว่า VGI  ผู้นำการตลาด Offline-to-Online (“O2O”)  Marketing โซลูชั่นส์ บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจการจัดจำหน่าย

โดยบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2565/66 (1 เม.ย.-30 มิ.ย. 65) เติบโตแข็งแกร่ง ด้วยรายได้จากการให้บริการและการขาย 1,042 ล้านบาท เติบโต 74.9%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งมีกำไรสุทธิ 25 ล้านบาท โตแรงเพิ่มขึ้น 153.5%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการควบรวมผลการดำเนินงานของบริษัท แฟนสลิ้งค์ คอมมูนิเคชั่น จํากัด (“Fanslink”) และการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดของทุกหน่วยธุรกิจ

นายเนลสัน กล่าวว่า เป็นการเริ่มไตรมาสแรกของปี 2565/66 ของ VGI ได้อย่างสดใสเมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านเพิ่มขึ้น 8.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 411 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ได้รับอานิสงค์จากจำนวนผู้โดยสารบน BTS ที่เพิ่มขึ้น และแรงหนุนจากเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัวตามมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่ผ่อนคลายลง

อีกทั้งยังได้รับการตอบรับที่ดีจากแบรนด์และนักการตลาดที่ให้ความสนใจในแพ็คเกจสื่อประเภท Street View ช่วยส่งให้ทำยอดขายได้มากขึ้น ด้านธุรกิจบริการชำระเงิน สามารถผลักดันการสร้างรายได้เพิ่มสูงถึง 19.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นมูลค่า 260 ล้านบาท โดยได้แรงหนุนหลักจากรายได้จากการใช้จ่ายผ่านบัตรแรบบิท และการขายบัตรแรบบิท อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส ตลอดจนรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้กลุ่มแรบบิท ซึ่งปัจจุบันบัตรแรบบิทมีจำนวน 15.3 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 6.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน Rabbit LINE Pay มียอดผู้ใช้บริการกว่า 9.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับธุรกิจการจัดจำหน่าย สามารถทำรายได้อยู่ที่ 370 ล้านบาท ซึ่งมาจากการรวมผลการดำเนินงานของ Fanslink แบบเต็มไตรมาสที่เริ่มขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยรวมแล้วทำให้ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทสามารถกลับมาบันทึกกำไรได้เป็นผลสำเร็จอีกครั้ง

ทั้งนี้แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จะมีผลกระทบเชิงลบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามธนาคารแห่งประเทศไทยได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวอยู่ที่ 3.3% โดยมาจากแรงหนุนหลักด้านอุปสงค์ในประเทศที่สูงขึ้น และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจากการเปิดประเทศ จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงกระตุ้นในช่วงครึ่งปีหลังและส่งให้ GDP ของประเทศกลับไปถึงระดับก่อนเกิดโรคระบาดได้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 และเพื่อตอบสนองต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ VGI จะยังคงพัฒนาธุรกิจหลักด้วยกลยุทธ์การตลาด Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ต่อไป รวมทั้งมีมุมมองในแง่บวกว่าบริษัทฯ จะกลับตัวและสร้างผลกำไรในปีนี้

บริษัทยังคงมั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบการเติบโตได้อย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดได้อย่างเต็มศักยภาพและมีประสิทธิภาพต่อไป กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติม

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(26 ส.ค.2565) ว่า VGI จัด conference call กับนักวิเคราะห์ ซึ่งเรารู้สึกว่าแนวโน้มไม่ได้สดใสอย่างที่ เราคาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยประเด็นสำคัญที่ได้จากการประชุมมีดังนี้ i) บริษัทยังคง เป้ารายได้ปีนี้เอาไว้เท่าเดิมที่ 6.5 พันล้านบาท (โต 59% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) แม้ว่ารายได้ในไตรมาสแรกของปี 65/66 (1 เม.ย.-30 มิ.ย. 65)  จะคิดเป็นเพียง 14% ของเป้าทั้งปีของบริษัทเท่านั้น โดยบริษัทบอกว่า รายได้ที่ต่ำในไตรมาส 1/66 เป็นผลจากปัจจัยฤดูกาล และช่วงเหลื่อมเวลาระหว่างการที่ จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า BTS เพิ่มขึ้น กับรายได้ค่าโฆษณาของ VGI

ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกรกฎคมและสิงหาคม 65 บริษัทพบว่าโมเมนตัมของรายได้แข็งแกร่งกว่าในไตรมาส 1 ii) ดำเนินกระบวนการ tender offer เพื่อซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของ NINE เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้บริษัทได้เข้าถือหุ้น NINE รวมประมาณ 59.99% และจะเริ่มนำงบการเงินของ NINE เข้ามาอยู่ในงบรวมของ VGI ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 65 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ NINE มีผลขาดทุน 36 ล้านบาทในไตรมาส 2/65 และยังมี แนวโน้มจะขาดทุนต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยสองไตรมาสก่อนที่จะได้อานิสงส์จากแผน ปรับโครงสร้างเพื่อทำธุรกิจ commerce เพิ่มขึ้น และกลายมาเป็นจุด conversion point สำหรับลูกค้า VGI ซึ่งหมายความว่า VGI จะต้องแบกผลขาดทุนไตรมาสละ 21.6 ล้านบนาท หรือ ปีละ 86 ล้านบาทจากการถือหุ้น 59.99% ใน NINE

จากประมาณการในปัจจุบัน เรามองแบบอนุรักษ์นิยมมากกว่าเป้าของผู้บริหารโดยเฉพาะในด้านของรายได้ โดยเราคาดว่ารายได้ในปี 65/66 (เม.ย. 65-มี.ค. 66) จะอยู่ที่ 4.6 พันล้าน บาทเท่านั้น ต่ำกว่าเป้าของบริษัทถึง 28% เพราะมองแนวโน้มเศรษฐกิจแบบ ระมัดระวังมากกว่า โดยเราคาดว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะลดลงจากอัตราเงินเฟ้อที่ เร่งตัวขึ้น

นอกจากนี้ ยังคิดว่าประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมของเราเหมาะสมเพราะ VGI ยังต้องนำผลขาดทุนของ NINE เข้ามาใส่ในงบรวมของบริษัทตั้งแต่ไตรมาส 2/66 เป็นต้นไปด้วย ดังนั้นจึงยังคงประมาณการกำไรปี 65/66 (เม.ย. 65-มี.ค. 66) เอาไว้เท่าเดิม ที่ 16 ล้านบาท จากที่มีผลขาดทุนจากธุรกิจหลัก 321 ล้านบาทในปี 65

แนะนำซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 5.50 บาท มองบวกน้อยลงกับแนวโน้มของบริษัท เพราะดูเหมือนว่าบริษัทลูก ซึ่งรวมถึง KEX และ NINE จะเป็นตัวฉุดผลประกอบการไปอีกอย่างน้อยสองปี ซึ่งจะทอนความ แข็งแกร่งของการฟื้นตัวของกำไรจากธุรกิจสื่อ OOH ลง

 

Back to top button