AIT บวกแรง 7% มั่นใจครึ่งปีหลังโตดี ออเดอร์ใหม่เพิ่ม โชว์แบ็กล็อก 7.6 พันล้าน
AIT บวกแรง 7% มั่นใจผลงานครึ่งปีหลังโตดี ออเดอร์ใหม่เพิ่ม โชว์แบ็กล็อก 7.6 พันล้าน รับรู้ปีนี้ 40%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (วันนี้ 9 ก.ย.65) ราคาหุ้น บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ล่าสุด ณ เวลา 11:25 น. อยู่ที่ 6.70 บาท บวก 0.45 บาท หรือ 7.20% สูงสุดที่ 6.70 บาท ต่ำสุดที่ 6.35 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 79.04 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ AIT เปิดเผยว่า ผลประกอบการปีนี้มีแนวโน้มปรับลดเป้ารายได้ จากเดิมตั้งเป้ารายได้ทั้งปีที่ 7,400 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 7,034.7 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย. 65) บริษัทมีรายได้เพียง 3,111 ล้านบาท ขณะปัจจุบันมีงานที่รอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) 7,600 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ปีนี้ประมาณ 40% หรือราว 3,000 ล้านบาท เมื่อมารวมกับรายได้ช่วงครึ่งปีแรกจะอยู่ที่กว่า 6,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จะขอรอดูช่วงไตรมาส 3/2565 (ก.ค.-ก.ย. 65) ก่อนพิจารณาตัดสินใจว่าจะมีการปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ลงหรือไม่ เพราะขณะนี้บริษัทยังมีงานที่ชนะการประกวดราคาและรอลงนามในสัญญาอีก 270 ล้านบาท และอยู่ระหว่างรอประกาศผลการประกวดราคาอีก 300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมั่นใจว่ามีโอกาสได้งานสูงมาก รวมทั้งคาดหวังว่าจะมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มอีกในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้
ขณะเดียวกันมั่นใจว่าผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังนี้ (ก.ค.-ธ.ค. 65) จะเติบโตได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกแน่นอน เพราะบริษัทจะส่งมอบงานแก่ลูกค้าได้มากกว่าครึ่งปีแรก แม้ยอมรับว่าปัญหาการขาดแคลนชิป ที่ส่งผลให้ผู้ผลิตไม่สามารถส่งชิปให้กับ AIT ได้นั้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ในปีนี้ เพราะทำให้บริษัทส่งมอบงานให้ลูกค้าได้ล่าช้ากว่ากำหนด และทำให้รับรายได้ล่าช้าด้วย แต่บริษัทจะพยายามเร่งรัดการทำงานการติดตั้งต่าง ๆ ให้เร็วขึ้นมากที่สุด
สำหรับแบ็กล็อกจำนวน 7,600 ล้านบาทนั้น แบ่งเป็นสัดส่วนงานภาครัฐมากสุดที่ 41% หรือ 3,150 ล้านบาท รองลงมาคืองานภาคเอกชน 28% หรือ 2,150 ล้านบาท, สถาบันการเงิน-ประกัน 16% หรือ 1,200 ล้านบาท และงาน Service Provider 15% หรือ 1,100 ล้านบาท
ส่วนงานที่รอประกาศผลประกวดราคาจำนวน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนงานภาครัฐมากสุดที่ 56% หรือ 168 ล้านบาท รองลงมาคืองาน Service Provider 40% หรือ 120 ล้านบาท, งานภาคเอกชน 3% หรือ 10 ล้านบาท และงานสถาบันการเงิน-ประกัน 1% หรือ 2 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเข้าร่วมประกวดราคาเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้-ปี 2566 อีก 7,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นงานภาครัฐ