CH ทะยานต่อ 9% รุกขยายธุรกิจเต็มสูบ ปักธง 2 ปี รายได้ 2 พันลบ.

CH บวกต่อ 9% เดินหน้านำเงินระดมทุนขยายธุรกิจตามแผน ตั้งเป้าภายใน 2 ปี รายได้รวมพุ่ง 2,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดทำได้ 1,700-1,800 ล้านบาท โบรกฯ คาดปี 65 เบ่งกำไรสุทธิ 85.1 ล้านบาท เติบโต 26.9% จากปีก่อน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 ก.ย.65) ราคาหุ้น บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH ณ เวลา 10:02 น. อยู่ที่ระดับ 4.50 บาท บวก 0.36 บาท หรือ 8.70% สูงสุดที่ระดับ 4.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 356.10 ล้านบาท

ด้าน นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CH เปิดเผยว่า ราคาหุ้น CH ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาไอพีโอได้ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท โดยเห็นถึงพื้นฐานธุรกิจดี มีศักยภาพในการเติบโตอีกไกลในอนาคต ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวย่างที่สำคัญของการสร้างโอกาสทางธุรกิจ การระดมทุน และยกระดับความน่าเชื่อถือของบริษัทให้เป็นที่ยอมรับจากทั้งคู่ค้าในประเทศและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตที่ดีในอนาคต

สำหรับเงินระดมทุนที่ได้ในครั้งนี้ จำนวน 354.36 ล้านบาท (ภายหลังหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ IPO) บริษัทมีแผนที่จะใช้ลงทุนสำหรับปรับปรุงโรงงานผลิตสินค้า และก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติม ที่โรงงานท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 86 ล้านบาท โดยจะใช้ในช่วงปี 2566-2567 เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการผลิต

อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บ (Raw Material) สินค้ากึ่งสำเร็จรูป (Semi-Product) และสินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) สำหรับรองรับการขยายฐานการผลิตและรองรับการขยายตัวของธุรกิจต่อไปในอนาคต ส่วนเงินระดมทุนที่เหลืออีกประมาณ 268.36  ล้านบาท จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

สัดส่วนการใช้เงินระดมทุนในการลงทุนปรับปรุงโรงงานผลิตสินค้า และก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติมเพียง 86 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการกว่า 268 ล้านบาทนั้น เป็นการดำเนินธุรกิจแบบ Conservative เนื่องจากบริษัทมองว่าด้วยสถานการณ์ของโลกที่ยังไม่ปกติ จึงแบ่งสัดส่วนเงินทุนหมุนเวียนไว้มากกว่าการใช้ลงทุน เพื่อรอจังหวะในการลงทุน ทั้งนี้สัดส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่มีเพิ่มขึ้น จะช่วยบริหารจัดการต้นทุนภายในของบริษัทได้ด้วย ซึ่งหลังจากทำการขายหุ้นไอพีโอ ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือระดับ 0.8 เท่า จากเดิมอยู่ที่ระดับ 1.22 เท่า” นายศักดา กล่าว

ด้านการเติบโตในอนาคต บริษัทได้วางเป้าหมายภายใน 2 ปีจากนี้ จะมีรายได้รวมเติบโตระดับ 2,000 ล้านบาท โดยในปี 2566 บริษัทวางเป้าหมายจะมีรายได้รวมเติบโต 10% จากปี 2565 ที่บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมประมาณ 1,700-1,800 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,455.45 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 915.37 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 5% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 7.36%

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ รวมถึงการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ  (Healthy Food) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว นอกเหนือจากการจัดจำหน่ายเองและรับจ้างการผลิต (OEM) ทั้งเป็นการรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพื่อเป็นการขยายฐานการผลิต และสร้างลูกค้าใหม่ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังถือเป็นการเพิ่มศักยภาพให้บริษัทสามารถก้าวเป็นผู้นำด้าน INNOVATIVE HEALTHY FOOD ต่อไปในอนาคต

นายศักดา กล่าวอีกว่า ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ บริษัทมีแผนไปร่วมงาน SIAL (Salon International de l’alimentation) เป็นงานจัดแสดงสินค้าและนวัตกรรมอาหาร ที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส และในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคมนี้ บริษัทก็มีแผนไปร่วมงาน world Plant-based ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นการขยายลูกค้าในกลุ่ม OEM เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าในกลุ่ม OEM ที่ประมาณ 60% ของพอร์ตรวม

ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า นอกเหนือจากการที่หุ้น CH มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีแล้ว บริษัทยังมีผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยมีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ และคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ปัจจุบัน CH มีกำไรสะสมกว่า 352.16 ล้านบาท ที่พร้อมจะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา CH ถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และการขาดแคลนสายเรือ แต่ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวเริ่มคลี่คลายแล้ว ประกอบกับการขยายฐานลูกค้าไปยุโรปโดยใช้โรงงานที่กัมพูชาเป็นฐานการผลิตผลไม้อบแห้ง เนื่องจากได้รับ GSP (Generalized System of Preferences คือ ระบบการให้สิทธิพิเศษทางภาษี) เป็นแหล่งวัตถุดิบมะม่วงที่มีราคาถูก และอัตราค่าแรงถูกกว่าในไทย ขณะที่การเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มขนมเพื่อสุขภาพตามกระแสรักสุขภาพ

ดังนั้น จึงคาดกำไรสุทธิปี 2565 ของ CH ไว้ที่ 85.1 ล้านบาท เติบโต 26.9% จากปีก่อน ขณะที่ในปี 2566 คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 107 ล้านบาท เติบโต 25.5% และในปี 2567 คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 135 ล้านบาท เติบโต 26.2% โดยในช่วงปี 2565-2567 อัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ของกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 25.8%

Back to top button