SELIC บวกแรง 5% จับตายอดขาย-กำไรปีนี้โตดี หลังรุกตลาด “เฮลธ์แคร์” เต็มสูบ
SELIC บวกแรง 5% จับตายอดขาย-กำไรปี 65 โตดี หลังรุกตลาด “เฮลธ์แคร์” เต็มสูบ ล่าสุดซื้อธุรกิจน้ำมันมวย 50% พร้อมเล็งหาโอกาสลงทุนขยายธุรกิจใหม่นอกเหนือจากกาวอุตสาหกรรมเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(13 ก.ย.65) ราคาหุ้นบริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ณ เวลา 15.02 น. อยู่ที่ระดับ 3.24 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 4.52% ราคาสูงสุด 3.26 บาท ราคาต่ำสุด 3.10 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 65.04 ล้านบาท คาดเก็งกำไรแผนรุกธุรกิจ Consumer Healthcare เต็มสูบ ล่าสุดเข้าลงทุนซื้อหุ้น “เทวกรรมโอสถ” ธุรกิจน้ำมันมวย 50% คาดหนุนยอดขาย-กำไรปี 65 โตดี
โดยนางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SELIC เปิดเผยว่า หลังเดินหน้าโครงการลงทุนผลิต และจำหน่ายเวชภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Neoplast และ Neobun ตามแผนแล้ว ล่าสุดยังได้ลงทุนในบริษัท เทวกรรมโอสถ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์บรรเทาปวดหรือ Topical Analgesic ยี่ห้อ “น้ำมันมวย” โดยได้เข้าถือหุ้น จำนวน 17,077,418 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเพิ่มทุนแล้ว มูลค่ารวมทั้งสิ้น 280 ล้านบาท เพื่อรองรับการเข้าสู่ตลาด Consumer Healthcare อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ธุรกิจ Healthcare เป็นภาคธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น โรคระบาดรุนแรงโควิด-19 วิถีชีวิตคนที่เปลี่ยนแปลงไป การเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจ Consumer Healthcare ของบริษัท เป็นการดำเนินการตามเป้าหมายการขยายตลาดที่แตกต่างและหลากหลายไปจากธุรกิจหลัก (Diversity) นอกจากนี้ยังเป็นการขยายช่องทางการจำหน่ายจากเดิมการทำการตลาดระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) ทำให้มีช่องทางการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าหรือผู้บริโภค (B2C) เพิ่มเติม ซึ่งตอบโจทย์กลยุทธ์ด้านการขยายธุรกิจ
สำหรับการถือหุ้นในเทวกรรมโอสถ จะเป็นการต่อยอดจากโครงการลงทุนในการซื้อสินทรัพย์สำหรับการผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ รวมไปถึงเครื่องมือแพทย์ภายใต้แบรนด์ Neoplast และ Neobun อีกด้วย ซึ่งจะส่งเสริม และสนับสนุนธุรกิจต่อกัน ผลักดันให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลต่อการดำเนินการในธุรกิจ Consumer Healthcare ของบริษัท
นางสาวยุวดี กล่าวต่อว่า การลงทุนในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวางรากฐานเพื่อเปิดโอกาสให้เรียนรู้พัฒนาความเชี่ยวชาญในสาขาธุรกิจใหม่ ๆ นำไปสู่แผนสร้างพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้นในอนาคต โดยเริ่มมองหาโอกาสการเติบโตไปสู่ภาคธุรกิจที่อยู่นอกเหนือจากกลุ่มกาวอุตสาหกรรม นับเป็นพัฒนาการเชิงกลยุทธ์อีกก้าวหนึ่งเพื่อหาโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มควบคู่ไปกับแผนการเติบโตของฐานธุรกิจหลักของบริษัทในปัจจุบัน