น้องใหม่ไฟแรง! CH วิ่ง 3 วันทะยาน 124% จับตารายได้ปีนี้ทะลัก 1.8 พันล้าน
ไอพีโอน้องใหม่ CH วิ่งแรง 3 วันพุ่งกว่า 124% ลุ้นโชว์รายได้ปีนี้ 1.8 พันล้านบาท ดันกำไรแตะ 78 ล้านบาท พร้อมวางเป้า 2 ปีรายได้แตะ 2 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ก.ย.65) บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH อยู่ที่ระดับ 5.25 บาท บวก 0.37 บาท หรือ 7.58% สูงสุดที่ระดับ 5.45 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 806.15 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2565 และปี 2566 จะเติบโตในระดับ 2 หลักอีกครั้ง ซึ่งในปี 2565 จะมีกำไรสุทธิ 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน และในปี 2566 จะมีกำไรสุทธิ 98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน หลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย ส่งผลให้กำลังซื้อกลับมาเพิ่มขึ้น ประกอบกับปัญหาการขาดแคลนตู้และเรือขนส่งเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งเป็นบวกต่อรายได้ของบริษัท เพราะมีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 70% ของยอดขายทั้งหมด และยังได้ผลบวกจากเงินบาทอ่อนค่าอีกทาง
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ความน่าสนใจของ CH คือบริษัทมีประสบการณ์ในธุรกิจอาหารแปรรูปกว่า 97 ปี เป็น TOP 5 ของผู้ส่งออกมะม่วงอบแห้งของไทยที่มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล การตั้งโรงงานที่กัมพูชา ส่งผลดีต่อการขยายฐานลูกค้า และมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี อีกทั้งค่าแรงยังต่ำกว่าไทย และมีสายพันธุ์มะม่วงที่เหมาะสมกับการทำมะม่วงอบแห้งแบบ soft-dried นอกจากนี้ยังได้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565-2566 จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ประมาณ 23% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการส่งออก รวมถึงแนวโน้มค่าใช้จ่ายในการขนส่งลดลง
ด้าน นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CH เปิดเผยว่า ราคาหุ้น CH ที่เข้าซื้อขายวันแรกสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาไอพีโอได้ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท โดยเห็นถึงพื้นฐานธุรกิจดี มีศักยภาพในการเติบโตอีกไกลในอนาคต ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวย่างที่สำคัญของการสร้างโอกาสทางธุรกิจ การระดมทุน และยกระดับความน่าเชื่อถือของบริษัทให้เป็นที่ยอมรับจากทั้งคู่ค้าในประเทศและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตที่ดีในอนาคต
สำหรับเงินระดมทุนที่ได้ในครั้งนี้ จำนวน 354.36 ล้านบาท (ภายหลังหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ IPO) บริษัทมีแผนที่จะใช้ลงทุนสำหรับปรับปรุงโรงงานผลิตสินค้า และก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติม ที่โรงงานท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 86 ล้านบาท โดยจะใช้ในช่วงปี 2566-2567 เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการผลิต
อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บ (Raw Material) สินค้ากึ่งสำเร็จรูป (Semi-Product) และสินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) สำหรับรองรับการขยายฐานการผลิตและรองรับการขยายตัวของธุรกิจต่อไปในอนาคต ส่วนเงินระดมทุนที่เหลืออีกประมาณ 268.36 ล้านบาท จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
“สัดส่วนการใช้เงินระดมทุนในการลงทุนปรับปรุงโรงงานผลิตสินค้า และก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติมเพียง 86 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการกว่า 268 ล้านบาทนั้น เป็นการดำเนินธุรกิจแบบ Conservative เนื่องจากบริษัทมองว่าด้วยสถานการณ์ของโลกที่ยังไม่ปกติ จึงแบ่งสัดส่วนเงินทุนหมุนเวียนไว้มากกว่าการใช้ลงทุน เพื่อรอจังหวะในการลงทุน ทั้งนี้สัดส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่มีเพิ่มขึ้น จะช่วยบริหารจัดการต้นทุนภายในของบริษัทได้ด้วย ซึ่งหลังจากทำการขายหุ้นไอพีโอ ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือระดับ 0.8 เท่า จากเดิมอยู่ที่ระดับ 1.22 เท่า”
ด้านการเติบโตในอนาคต บริษัทได้วางเป้าหมายภายใน 2 ปีจากนี้ จะมีรายได้รวมเติบโตระดับ 2,000 ล้านบาท โดยในปี 2566 บริษัทวางเป้าหมายจะมีรายได้รวมเติบโต 10% จากปี 2565 ที่บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมประมาณ 1,700-1,800 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,455.45 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 915.37 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 5% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 7.36%
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ รวมถึงการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ (Healthy Food) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว นอกเหนือจากการจัดจำหน่ายเองและรับจ้างการผลิต (OEM) ทั้งเป็นการรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพื่อเป็นการขยายฐานการผลิต และสร้างลูกค้าใหม่ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังถือเป็นการเพิ่มศักยภาพให้บริษัทสามารถก้าวเป็นผู้นำด้าน INNOVATIVE HEALTHY FOOD ต่อไปในอนาคต
นายศักดา กล่าวอีกว่า ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ บริษัทมีแผนไปร่วมงาน SIAL (Salon International de l’alimentation) เป็นงานจัดแสดงสินค้าและนวัตกรรมอาหาร ที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส และในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคมนี้ บริษัทก็มีแผนไปร่วมงาน world Plant-based ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นการขยายลูกค้าในกลุ่ม OEM เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าในกลุ่ม OEM ที่ประมาณ 60% ของพอร์ตรวม
ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า นอกเหนือจากการที่หุ้น CH มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีแล้ว บริษัทยังมีผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยมีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ และคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ปัจจุบัน CH มีกำไรสะสมกว่า 352.16 ล้านบาท ที่พร้อมจะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น