WHA บวก 3% จับตากำไรปีนี้ “ออลไทม์ไฮ” อัพยอดขายที่ดิน 1,650 ไร่
WHA บวก 3% จับตากำไรปีนี้ออลไทม์ไฮ อัพยอดขายที่ดิน 1,650 ไร่ จากเดิมตั้งไว้ 1,250 ไร่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(19 ก.ย.65) ราคาหุ้น บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ณ เวลา 10:17 น. อยู่ที่ระดับ 3.58 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 3.47% สูงสุดที่ระดับ 3.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.52 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 111.49 ล้านบาท
โดยก่อนนางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท WHA เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเป้ายอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในปีนี้เพิ่มเป็น 1,650 ไร่ แบ่งเป็นในไทย จำนวน 1,400 ไร่ และเวียดนาม จำนวน 250 ไร่ จากเดิมตั้งไว้ที่ 1,250 ไร่ หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกสามารถปิดดีลขายที่ดินได้ตามเป้า ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังก็ยังมีการเจรจากับลูกค้าที่จะทยอยปิดดีลเพิ่มขึ้นอีก 230 ราย รวมทั้งคาดว่าจะมีการปิดดีลใหม่ ๆ เพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้
โดยในส่วนยอดโอนที่ดินนิคมฯ ของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,100 ไร่ จากการที่บริษัทสามารถปิดดีลขายที่ดินกับลูกค้าได้มากขึ้น และหากเป็นไปตามเป้าจะทำให้บริษัทมีมูลค่ายอดขายที่ดินที่รอโอน (Backlog) ปี 2566 อีกประมาณ 1,000 ไร่
ทั้งนี้กรณีปัญหาระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงการขาดแคลนพลังงานในจีน ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มย้ายฐานการผลิตจากจีนเข้ามาสู่อาเซียน ทั้ง ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของบริษัทด้วย ทั้งนี้บริษัทเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของผู้ประกอบการกลับมาเริ่มทยอยลงทุนกันมากขึ้น หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลายลง หลายประเทศรวมถึงไทยกลับมาเปิดเมืองและประเทศ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยกลุ่มลูกค้าที่กลับมาลงทุนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป กลับเข้ามาเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตอีกครั้ง
ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ ในปีนี้ก็ดีว่าคาด และเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่มีผลการดําเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น โดยในครึ่งปีแรก 2565 บริษัทมีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าสําเร็จรูปเพิ่มเติมรวม 111,136 ตารางเมตร โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit รวม 87,946 ตารางเมตร กับลูกค้ารายใหญ่อาทิกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และกลุ่มโลจิสติกส์
ดังนั้นแนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีดีมานด์การเติบโตอย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทมีการเซ็นสัญญาเช่ากับลูกค้ารายใหม่ทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งการส่งมอบพื้นที่เช่าให้กับลูกค้าได้ตามแผนงานที่วางไว้แม้ว่าปัจจุบันต้นทุนวัสดุก่อสร้างจะปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทมีการบริหารต้นทุนที่ดีรวมถึงได้มีการทําสัญญาซื้อขายและกําหนดราคาล่วงหน้ากับผู้รับเหมาไว้แล้ว จึงไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายของบริษัทแต่อย่างใด
สำหรับด้านพื้นที่เช่าคลังสินค้าบริษัทยังมั่นใจว่าในปีนี้ สามารถปิดดีลทำสัญญาลูกค้าเช่าพื้นที่คลังสินค้าใหม่ได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 185,000 ตารางเมตร จากที่ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้เซ็นสัญญาเช่าพื้นที่คลังสินค้ากับลูกค้าใหม่ไปแล้ว 98,214 ตารางเมตร รวมถึงมั่นใจว่าสามารถทำสัญญาลูกค้าเช่าคลังสินค้าระยะสั้นได้ตามเป้าที่ 100,000 ตารางเมตร จากครึ่งปีแรกทำสัญญาลูกค้าเช่าพื้นที่คลังสินค้าระยะสั้นไปแล้ว 96,071 ตารางเมตร
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3/2565 บริษัทยังมีการเจรจากับลูกค้าที่สนใจเช่าพื้นที่คลังสินค้ารวมกว่า 300,000 ตารางเมตร จะทยอยทำสัญญาในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำให้เป้าพื้นที่เช่าของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่เช่าคลังสินค้าทั้งสิ้น 2.7 ล้านตารางเมตร ส่วนอาคารสำนักงานให้เช่าของบริษัทที่มีอยู่ 5 แห่งที่เปิดให้บริการ พื้นที่รวม 100,000 ตารางเมตร ปัจจุบันอัตราการเช่าอยู่ที่ 60% คาดว่าจะเริ่มมีผู้เช่าทยอยเข้ามาเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหลังจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ปรับเป้ายอดขายที่ดินแล้ว โดยเพิ่มเป็น 1,650 ไร่ ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ก็ดีกว่าคาด การเช่าพื้นที่คลังมีการเจรจากับลูกค้าเพิ่มขึ้น ตอนนี้มีในมือแล้ว 300,000 ตารางเมตร ดังนั้นมองว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดี All Time High ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร” นางสาวจรีพร กล่าว
นางสาวจรีพร กล่าวอีกว่า ในปลายปีนี้บริษัทจะขายสินทรัพย์ที่เป็นพื้นที่เช่าคลังสินค้า 159,000 ตารางเมตร มูลค่า 4,000 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) และจะขายคลังสินค้าให้เช่าอีก 48,000 ตารางเมตร มูลค่า 1,300 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล (WHAIR) จะทำให้บริษัทจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ามาหนุนผลงานในช่วงไตรมาส 4/2565
ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทมีปริมาณยอดขายและบริหารนํ้าทั้งในและต่างประเทศ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 เท่ากับ 75.1 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งตั้งเป้ายอดขายน้ำทั้งปีนี้ไว้ที่ 153 ล้านลูกบาศก์เมตร
ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้า ในส่วนของ SPP ยังรับผลกระทบจากค่าก๊าซฯ ที่สูงขึ้น หรือคิดเป็นประมาณ 20% ของยอดขายรวมกลุ่ม SPP แต่ส่วนอื่นในธุรกิจไฟฟ้าก็นับว่ายังเติบโตได้ดี ขณะที่โครงการโซลาร์รูฟท็อป มีโครงการที่ COD แล้ว 62 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 64 เมกะวัตต์ และคาดว่าอีก 3-4 ไตรมาสข้างหน้า จะมีโครงการใหม่ที่จะสร้างเสร็จเข้ามา ทำให้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งยังไม่นับรวมแต่ละไตรมาส ที่บริษัทจะลงนามสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่มี PPA แล้วรวม 125 เมกะวัตต์ ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 150 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้