COL ปรับโมเดลธุรกิจออนไลน์ช้อปปิ้งหวังดันกำไรปี 59 โต
COL ปรับโมเดลธุรกิจออนไลน์ช้อปปิ้งหวังดันกำไรปี 59 โต
นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) หรือ COL เปิดเผยว่า กำไรสุทธิปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 439.26 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากธุรกิจออนไลน์ช็อปปิ้งให้อัตราการทำกำไรที่ต่ำและมีการลงทุนที่สูงในเรื่องการเพิ่มบุลลากรการทำโปรโมชั่น ประกอบกับเผชิญกับภาวะการแข่งขันด้านการตลาดส่งผลให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
ดังนั้น บริษัทจึงปรับโมเดลธุรกิจแบบการขายสินค้าออนไลน์(เว็บไซต์เซ็นทรัลออนไลน์)ในปี 59 ไปเป็นรูปแบบ Market Place หรือเป็นตัวกลางการขายสินค้าระหว่างผู้ผลิตสินค้าและเจ้าของแบรนด์สินค้า ซึ่งจะทำให้บริษัทจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียม โดยจะมีส่วนช่วยทำให้ต้นอัตราการทำกำไรขั้นต้นดีขึ้น
จากรูปแบบเดิมที่ช่องทางออนไลน์ช้อปปิ้งของบริษัทมีการซื้อสินค้าจากผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์สินค้ามาจำหน่ายเอง ส่งผลให้ บริษัทมีต้นทุนในการเก็บสินค้าและทำโปรโมชั่นเองและประสบปัญหาภาวะการแข่งขันทางการตลาดที่รุนแรง ซึ่งทำให้ในปี 58 กำไรของบริษัทต่ำกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 59 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยในปีหน้ารายได้จากธุรกิจออฟฟิศเมทจะเติบโตราว 12-13% ร้าน B2S เติบโต 7% และธุรกิจออนไลน์ช็อปปิ้งเติบโตมากว่า 100% พร้อมกันนั้น ยังมีเป้าหมายผลักดันรายได้ของออฟฟิศเมททะลุ 1 หมื่นล้านบาทภายในปี 63 จากปีนี้คาดไว้ที่ 6 พันล้านบาท
ส่วนรายได้รวมปีนี้คาดว่าจะทำได้มากว่า 1 หมื่นล้านบาท ปัจจัยหนุนมาจากการเติบโตของธุรกิจร้าน B2S และออนไลน์ช็อปปิ้งในไตรมาส 4/58 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ทำให้บริษัทมั่นใจว่าไตรมาส 4/58 จะมีผลดำเนินงานจะดีที่สุดของปี ทั้งในแง่กำไรและรายได้
บริษัทวางงบลงทุนรวมปี 59 ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ใช้ไป 500-600 ล้านบาท โดยจะขยายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีหน้าจะมีการเปิดสาขาที่เวียดนาม และตั้งเป้าขยายสาขาให้คลอบคลุมภูมิภาคอาเซียนในอีก 3-4 ประเทศภายในปี 63 เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น
การขยายสาขาของบริษัทในปีนี้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยร้านออฟฟิศเมทขยายเพิ่มอีก 8 สาขา และร้าน B2S เพิ่มอีกอีก 11 สาขา ทำให้สิ้นปีมีสาขารวมกันทั้งสิ้น 150 สาขา จากปัจจุบันมีร้านออฟฟิศเมท 57 สาขา และร้าน B2S จำนวน 90 สาขา
นายวราวุฒิ กล่าวอีกว่า บริษัทมีแผนงานในปีหน้าที่จะเพิ่มธุรกิจให้บริการ e-Library ซึ่งเป็นคลังหนังสือออนไลน์ให้กับกลุ่มลูกค้าองค์กรภาครัฐและเอกชน ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการทดลองใช้ในศาลปกครองที่จะมีการเก็บเอกสารหรือประมวลกฎหมายต่างๆ ให้พนักงานในศาลปกครองไว้ศึกษาและค้นหาข้อมูลได้สะดวก โดยมูลค่าโครงการหลักสิบล้านบาทต่อโครงการ
ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาควบรวมกิจการหรือร่วมลงทุนกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายต้นปี 59 แต่เบื้องต้นยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ประกอบกับ บริษัทมีแผนการเข้าไปสนับสนุนธุรกิจ Start Up ซึ่งเป็นผู้บริการรายย่อยในประเทศที่ต้องการแหล่งเงินทุนและความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ปัจจุบันเจรจา 3-4 รายคาดว่าจะสรุปได้ภายในปีนี้ 2 ราย