THE ลุ้นพลิกกำไรตั้งแต่ Q1/59 เชื่อราคาเหล็กผ่านจุดต่ำสุดแล้ว-ดีมานด์โต

THE คาดพลิกเป็นกำไรตั้งแต่ Q1/59 เชื่อราคาเหล็กผ่านจุดต่ำสุดแล้ว-ดีมานด์โต เผยอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรเข้าถือหุ้น “บ. เดอะ สยามเพาเวอร์” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่จะลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า


นายบุญชัย จิระพงษ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ THE เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรตั้งแต่ไตรมาส 1/59 หลังคาดราคาเหล็กน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และไตรมาส 1/59 บริษัทจะไม่นำเข้าเหล็กมาเทรดดิ้ง แต่จะเน้นการขายเหล็กที่ผลิตเอง ส่วนไตรมาส 4/58 แนวโน้มผลประกอบการน่าจะทรงตัวได้ หลังจากไตรมาส 3/58 ยังขาดทุน

สำหรับทิศทางผลประกอบการในปี 59 คาดว่ารายได้รวมจะฟื้นตัวกลับเท่ากับปี 57 ที่ทำรายได้กว่า 1.6 หมื่นล้านบาท หลังจากปีนี้รายได้ลดเหลือ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาทตามปริมาณขายและราคาที่ลดลงตามภาวะเหล็กโลก โดยในปีหน้าบริษัทจะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่นราว 120 เมกะวัตต์

โดยตั้งแต่ไตรมาส 1/59 หลังบริษัทเข้าซื้อกิจการไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง 4 บริษัท ได้แก่ บริษัทเพาเวอร์ เจนเนอชั่น จำกัด (SIPCO) ซึ่งปัจจุบันมีสัญญาขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว 90 เมกะวัตต์ และสัญญาซื้อขายไฟกับ บรัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEL ราว 30 เมกะวัตต์ ซึ่งถ้า GSTEL เดินเครื่องเต็มกำลัง จะทำให้บริษัทรับรู้รายได้จากการขายไฟ้ฟ้ารวม 120 เมกะวัตต์ หรือ 300-400 ล้านบาท/เดือนในปี 59

อีกทั้ง บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาถือหุ้นในบริษัท เดอะ สยามเพาเวอร์ จำกัด(TSP)ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่จะลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า เพื่อจะขยายโรงไฟฟ้าโคเจนฯอีก 120 เมกะวัตต์ ซึ่งมี PPA อยู่แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการธุรกิจไฟฟ้า 3-4 ราย เป็นบริษัทในประเทศ 2 ราย และจีนอีก 1 ราย คาดจะสรุปการคัดเลือกพันธมิตรในไตรมาส 1/59

สำหรับธุรกิจหลักของบริษัทยังมาจากอุตสาหกรรมเหล็ก โดยปี 59 คาดว่าจะมีปริมาณขายอยู่ที่ 1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่มีปริมาณขาย 8 แสนตัน ตามความต้องการเหล็กในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล น่าจะส่งผลตั้งแต่ไตรมาส 1/59 ทั้งการลงทุน การก่อสร้าง รถไฟฟ้า และเมกกะโปรเจ็กต์

อีกทั้งเชื่อว่าราคาเหล็กผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 58 ราคาปรับลงกว่า 50% ก็น่าจะ bottom out แล้ว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้รวมในปี 59 กลับไปที่เท่ากับปี 57 ที่ทำรายได้กว่า 1.6 หมื่นล้านบาท และพลิกเป็นกำไรสุทธิ โดยปัจจุบันบริษัทผลิตเหล็ก เช่น ท่อเหล็กเส้น เหล็กลวด ราว 20% มีอัตรากำไรขั้นต้น 12% และอัตรากำไรสุทธิ 5% ส่วนอีก 80% เป็นการนำเข้าเหล็กมาเทรดดิ้ง ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น 5% อัตรากำไรสุทธิ 2% 

Back to top button