DITTO บวก 3% เดินหน้า “ปลูกป่าชายเลน” เจาะองค์กรท้องถิ่น 8 พันแห่ง มูลค่า 4 พันล้าน
DITTO บวก 3% เร่งเดินหน้าปลูกป่าชายเลน เตรียมทาบ “ชุมชน” ในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งเป้า 1 แสนไร่ ตั้งทีมเจาะองค์กรท้องถิ่น อบจ. เทศบาล อบต. กว่า 8 พันแห่ง คาดว่ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 3-4 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 ต.ค. 65) ราคาหุ้น บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO ณ เวลา 10:35 น. อยู่ที่ระดับ 78.25 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 2.96% สูงสุดที่ระดับ 80.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 76.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 309.32 ล้านบาท
นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DITTO เปิดเผยในงาน BLS Carbon credit Steering toward sustainable growth จัดโดย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ว่า ดิทโต้ได้ให้ความสนใจในธุรกิจคาร์บอนเครดิตมาโดยตลอด ล่าสุดบริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้รับใบอนุญาตให้เข้าไปดูแลรักษาป่าชายเลน 11,448.3 ไร่เป็นเวลา 30 ปี เพื่อใช้ประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต และบริษัทจะไปเจรจากับชุมชนบริเวณที่ได้สิทธิ์ในการปลูกป่าเพื่อจะเข้ามาร่วมลงทุนและช่วยบริหารจัดการ ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าปลูกป่าถึง 1 แสนไร่
โดยสาเหตุที่ DITTO สนใจธุรกิจนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการดำเนินธุรกิจที่ช่วยเรื่องลดโลกร้อน ทั้งธุรกิจบริหารจัดการเอกสารและข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล Data & Document Management Solutions มีส่วนช่วยลดการใช้กระดาษ ทำให้ลดการตัดต้นไม้ลงได้ ซึ่งการลดการใช้กระดาษสามารถนำไปคำนวณคาร์บอนเครดิตได้
ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่ม นวัตกรรม วิศวกรรมและเทคโนโลยี โดยบริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด มีโครงการบริหารจัดการคัดแยกขยะ ที่สามารถช่วยลดขยะและนำมาคำนวณคาร์บอนเครดิตได้ ทุกวันนี้ ดิทโต้ ได้เข้าไปบริหารจัดการคัดแยกขยะให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) แห่งหนึ่งจำนวน 160 ตันต่อวัน ซึ่งคำนวณเป็นคาร์บอนเครดิต 0.5-0.6 ต่อตันต่อวัน หากรวมทั้งปีก็ไม่น้อย และยังได้ค่าบริหารจัดการอีกด้วย
สำหรับ DITTO ก่อนที่จะมาโฟกัสด้านกรีนเทคโนโลยี ก็มีประสบการณ์ มีความชำนาญด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ มาพอสมควร ด้านบริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด ก็มีความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการน้ำมาก่อนจึงสนใจในเรื่องปลูกป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตโดยศึกษาเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ขณะนี้ดิทโต้มีความพร้อมทั้ง บุคลากร รวมถึงต้นกล้าที่จะนำมาปลูก เงินลงทุนราว 150-160 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายปีละ 30-35 ล้านบาท สำหรับดูแลรักษาป่าและช่วยสร้างงานให้คนในชุมชนก็เตรียมไว้แล้ว ขณะเดียวกันก็กำลังศึกษาวิธีการระดมทุนในรูปแบบอื่น เช่น การออกบอนด์ หรือโทเคน โดยเปิดให้ภาคธุรกิจที่ต้องใช้คาร์บอนเครดิตจองล่วงหน้า ถ้าสำเร็จอาจจะไม่ต้องใช้เงินบริษัทในการลงทุน
ส่วนในอนาคต เชื่อว่าราคาคาร์บอนเครดิตจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกระแสโลกที่เอาจริงกับปัญหาโลกร้อน รวมถึงการที่ประเทศผู้นำเข้าบังคับให้ผู้ส่งออกต้องเสียภาษีตามมาตรการ CBAM หากไม่สามารถลดคาร์บอนได้และทราบว่าอีก 2 ปี ประเทศไทยก็จะออกกฎหมายเป็นภาคบังคับเช่นกัน อีกทั้งคาร์บอนเครดิตที่ได้จากป่าชายเลนเรียกว่า บลูคาร์บอน มีราคาสูงกว่าที่ได้จากแหล่งอื่น ๆ
นายฐกร กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีราชกิจจานุเบกษาประกาศ พ.ร.บ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 90 วันหลังจากประกาศ ทำให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ สามารถบริหารจัดการเอกสารให้เป็นระบบดิจิทัลได้แบบมีกฎหมายรองรับ ซึ่งมูลค่ารวมของการปรับการทำงานของหน่วยงานราชการให้กลายเป็นดิจิทัลทั้งระบบนั้น คาดว่ามูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ทางบริษัทจะเน้นการตลาดไปที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง อบจ. เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ทั่วประเทศกว่า 8,000 แห่ง คาดว่ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ทดลองบุกตลาดมาระยะหนึ่งแล้วโดยจัดทีมขาย เข้าไปขายโดยตรงและได้ร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัทในต่างจังหวัด ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพราะองค์กรเหล่านี้เป็นลูกค้าอยู่แล้วทำให้ขายง่ายขึ้น