PCC พุ่ง 7% เก็งกำไรปีนี้โต 69% โบรกเคาะเป้าสูง 4.80 บ. อัพไซด์ 38%
PCC ทะยานแรง 7% จับตากำไรปีนี้โต 69% โบรกประสานเสียงเชียร์ซื้อเป้าสูงลิ่ว 4.80 บ. อัพไซด์พุ่ง 38%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 ต.ค.65) ราคาหุ้น บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PCC ณ เวลา 14:17 น. อยู่ที่ระดับ 3.46 บาท บวก 0.24 บาท หรือ 7.45% สูงสุดที่ระดับ 3.46 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 250 ล้านบาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 65 – 66 คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 343 ล้านบาท และ 393 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิร้อยละ 69 และ 15 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตของหม้อแปลงไฟฟ้า (PEM) ตลอดจนการเปลี่ยนเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตให้เป็นเครื่องจักรอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพสูง เช่นเดียวกันกับการเพิ่มกำลังการผลิตของตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้า (PMW) จากกำลังการผลิต 2,000 ถังต่อปี เป็น 7,500 ถังต่อปี
รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตตู้โลหะสำหรับตู้สวิตช์เกียร์ และตู้สวิตช์บอร์ด อุปกรณ์ควบคุม จากกำลังการผลิต 2,000 ตู้ต่อปีเป็น 3,200 ตู้ต่อปีและมีแผนที่จะขยายโรงงานผลิตไปยังกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ได้ในต้นปี 66 รวมถึงการทำธุรกิจปลูกกัญชงในระบบปิดที่คาดว่าจะรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ภายในปี 65 แนะนำราคาเป้าหมายเหมาะสมปี 66 ที่ 4.80 บาท
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ประมาณการว่า PCC จะมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 25.4% CAGR ในปี 64-67 เพิ่มขึ้นจากโครงการในอนาคตที่การไฟฟ้ามีแผนจะปรับโครงข่ายระบบไฟฟ้าทั่วประเทศ ทั้งนี้ประเมินว่าบริษัทฯ มีโอกาสในการเติบโตอีกมาก เนื่องจาก บริษัทฯ เป็นเพียง 1 ใน 6 เจ้าที่ได้รับการรับรองจากการไฟฟ้าให้ผ่านการคัดกรองให้เข้าทำการประมูลงานส่วนใหญ่ได้ แนะนำราคาเป้าหมายเหมาะสมปี 66 ที่ 4.76 บาท
บล.กสิกรไทย คาดว่ากำไรสุทธิในปี 65-67 ของ PCC จะเติบโตขึ้น 38%, 38% และ 10% ตามลำดับ หรือมี CAGR ที่ 28% โดยกำไรที่เติบโตแข็งแกร่งในปี 65 จะมีแรงขับเคลื่อนหลักจากฐานที่ต่ำผลจากวิกฤติโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว
สำหรับรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) และสัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงจากการประหยัดต่อขนาดที่ดีขึ้น จะช่วยผลักดันการเติบโตของกาไรในปี 66-67 โดยคำนวณราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 4.70 บาท/หุ้น
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ประเมินกำไรสุทธิปี 65-66 ที่ 305 ล้านบาท และ 385 ล้านบาท ตามลำดับ หรือเติบโต 38% CAGR 64-66 โดยมี key driver หลักจากการฟื้นตัวของธุรกิจหลัก (PEM, PSP) ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมอบงานได้มากขึ้นและประมูลงานเพิ่มเติมได้หลังจากผ่านช่วง COVID-19 ซึ่งทำให้ผลประกอบการสะดุดลง หนุนรายได้รวมในปี 65-66 ที่ 4.60 พันล้านบาท และ 4.80 พันล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 15% CAGR 64-66 โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 4.70 บาท ทั้งนี้ key catalyst คือ การประกาศแผน PDP ฉบับใหม่ของไทย ซึ่งจะทำให้โครงการที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าทั้งภาครัฐและเอกชนออกมามากขึ้นในอนาคต
บล.เอเอสแอล ประเมินรายได้รวมปี 65-68 เท่ากับ 4.70 พันล้านบาท (+28.8% จากปีก่อน), 5.10 พันล้านบาท (+9% จากปีก่อน), 5.40 พันล้านบาท (+6.30% จากปีก่อน) และ 5.80 พันล้านบาท (+7.6% จากปีก่อน) ตามลำดับ ขยายตัวเฉลี่ยต่อปีแบบ CAGR ที่ 7.60% ขณะที่กำไรสุทธิคาดการณ์ 262 ล้านบาท (+29.20% จากปีก่อน), 361 ล้านบาท (+37.90% จากปีก่อน), 419 ล้านบาท (+16.20% จากปีก่อน) และ 469 ล้านบาท (+11.80% จากปีก่อน) ตามลำดับ ขยายตัวเฉลี่ยต่อปีแบบ CAGR ที่ 21.40%
โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมสิ้นปี 66 เท่ากับ 4.77 บาท/หุ้น โดย Valuation ค่อนข้างน่าสนใจเนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิค่อนข้างแข็งแกร่ง และล่าสุด PCC ชนะการประมูล ระบบส่งไฟฟ้างานจัดหาและจ้างก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 kV ทุ่งสง – สงขลา 3 ของ EGAT มูลค่า 1.53 พันล้านบาท หนุนการเติบโตของผลประกอบการในปี 66 ส่วนธุรกิจ PPP ได้มูลค่า 0.85 บาท/หุ้น จากโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 3 โครงการ ตามสัดส่วนที่ PCC ถือหุ้น