สรุปปัจจัยสำคัญตลาดทุน-การเงิน-เศรษฐกิจวันนี้

สรุปปัจจัยสำคัญตลาดทุน-การเงิน-เศรษฐกิจประจำวันที่ 19 พ.ย.58


– ปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 123.21/24 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 123.43/48 เยน/ดอลลาร์

– ส่วนเงินยูโรช่วงเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 1.0683/0685 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.0699/0703 ดอลลาร์/ยูโร

– ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,384.97 เพิ่มขึ้น 8.15 จุด หรือ 0.59% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 34,165 ล้านบาท

– สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 387.40 ล้านบาท (SET+MAI)

 

– นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง คาดว่า กระทรวงการคลังจะเสนอเรื่องการจัดตั้ง Thailand Future Fund มูลค่า 1 แสนล้านบาท เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อเป็นช่องทางระดมทุนมาใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยจะเน้นการเสนอขายหน่วยลงทุนให้นักลงทุนสถาบันในและต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนผลตอบแทนการลงทุนนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา

รมว.คลัง ได้แสดงความมั่นใจว่าตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะดีขึ้นกว่าปีนี้แน่นอน เป็นผลมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวขึ้น หลังจากรัฐบาลออกนโยบายต่างๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการกระจายรายได้สู่ระดับฐานราก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจปีหน้าได้เห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนจากปีนี้ที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว

– นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินภาวะเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ว่า มีแนวโน้มขยายตัวเกิน 3% จากเดิมที่ประมาณการณ์ไว้ 2.8-3.1% หากรัฐบาลอัดฉีดงบประมาณลงสู่ระบบอีกรอบ โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมที่จะใช้งบประมาณในไตรมาส 4 อีก 25,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างถนนและสาธารณูปโภค ประกอบกับที่ผ่านมาเม็ดเงินจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มลงสู่ระบบแล้ว ทั้งกองทุนหมู่บ้านและการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

– ธนาคารกลางจีนเปิดเผยในวันนี้ว่า ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อโครงการเงินกู้ระยะสั้น (SLF) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนสภาพคล่อง สำหรับสถาบันการเงินท้องถิ่น

– กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน เปิดเผยว่า บริษัทในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไอทีของจีนมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1.11646 ล้านหยวน ซึ่งแต่ละโครงการมีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านหยวนในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2558 ซึ่งปรับตัวขึ้น 14.5% เมื่อเทียบรายปี

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Back to top button