หุ้นโบรกเกอร์แพนิก! ส่อตั้งสำรองอ่วม ปมซื้อขาย MORE เสียหายกว่า 7 พันล้าน
หุ้นโบรกเกอร์แพนิก! ส่อตั้งสำรองอ่วม ปมซื้อขาย MORE เสียหายกว่า 7 พันล้าน เหตุครบกำหนดชำระเงินซื้อขายหุ้นแบบ T+2 ในวันนี้ หากคนทำคำสั่งซื้อไม่ชำระค่าหุ้น หวั่นโบรกเกอร์ต้องเป็นผู้จ่ายเงินแทนให้กับผู้ขายหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 14 พ.ย. 65 ราคาหุ้นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวลงซึ่งเกิดการแพนิก จากนักลงทุนเทขายเพื่อลดความเสี่ยงหลังมีความกังวลต่อโบรกเกอร์ที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งซื้อขายหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE จนเกิดมูลค่าความเสียหายกว่า 7 พันล้านบาท หลังจากทำรายการเมื่อวันที่ 10 พ.ย.65 ที่ผ่านมาที่ต้องชำระค่าซื้อขายหุ้นให้กับลูกค้าในวันนี้ เนื่องจากครบกำหนดการชำระเงินครบดีลแบบ T+2
ทั้งนี้จากกรณีดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเทขายทำกำไรในกลุ่มโบรกเกอร์ออกมาในวันนี้(14 พ.ย.65) อย่างเช่น บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ณ เวลา 10:42 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ 4.86 ล้านบาท ลบไป 0.08 บาท หรือลงไป 1.62% สูงสุดที่ระดับ 4.88 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.22 บาท มูลค่าการซื้อขาย 11.13 ล้านบาท
บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ณ เวลา 10:43 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ 2.98 ล้านบาท ลบไป 0.02 บาท หรือลงไป 0.67% สูงสุดที่ระดับ 2.98 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.94 บาท มูลค่าการซื้อขาย 14.81 ล้านบาท
บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY ณ เวลา 10:44 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ 7.55 ล้านบาท ลบไป 0.15 บาท หรือลงไป 1.95% สูงสุดที่ระดับ 7.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.63 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSS ราคาหุ้น ณ เวลา 10:41 น.อยู่ที่ 3.52 ล้านบาท ลบไป 0.08 บาท หรือลงไป 2.22% สูงสุดที่ระดับ 3.54 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.52 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1.06 ล้านบาท
สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกล่าวว่า ฝั่งซื้อและฝั่งขายจะต้องชำระราคาค่าหุ้น MORE กว่า 7 พันล้านบาท ให้กับลูกค้าในวันนี้ หลังจากมีการทำรายการเมื่อวันที่ 10 พ.ย.65 ผ่านมา มีการตั้งคำสั่งซื้อ (ATO) ที่ราคา 2.90 บาท มีปริมาณการซื้อขายที่ 1,531.77 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 4,442.13 ล้านบาท ก่อนจถูกถล่มติดฟลอร์สนิทตั้งแต่เวลาประมาณ 11.30 น. และต่อเนื่องถึงเช้าวันศุกร์ที่(11พ.ย.65) ติดฟลอร์ตั้งแต่เปิดการซื้อขายที่ราคา 1.37 บาท
โดยมีรายการซื้อขายหุ้น MORE ที่เกิดขึ้นในปริมาณที่มาก ซึ่งกรณีปกติแบบนี้จะเป็นรายการซื้อขายรายใหญ่(บิ๊กล็อต) ทำให้โบรกเกอร์ที่รับคำสั่งซื้อเริ่มรู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นและเริ่มตรวจสอบ
ขณะที่มีกระแสข่าวกระฉ่อนว่ามี 12 โบรกเกอร์ที่ได้รับความเสียหายมูลค่าเสียหายกว่า 7,000 ล้านบาท โดยบล.เกียรตินาคินภัทร และบล.กรุงศรีฯ ได้รับความเสียหายมากสุด แห่งละ 1,200 ล้านบาท ส่วนโบรเกอร์อีก 10 แห่ง ได้รับความเสียหายเฉลี่ยแห่งละ 300-600 ล้านบาท จากความเสียหายดังกล่าว กรณีเลวร้ายสุดโบรกเกอร์บางแห่งอาจต้องมีการตั้งสำรองจำนวนมาก และบางแห่งอาจถึงขั้นต้องปิดตัวลงได้เช่นกัน