PRI วิ่งกว่า 3% ลุ้นผลงาน Q4 โต ทยอยรับรู้ “แบ็กล็อก” กว่า 300 ลบ.
PRI บวกกว่า 3% จับตาผลงาน Q4/65 โตต่อเนื่อง ทยอยรับรู้ “แบ็กล็อก” กว่า 328 ล้านบาท ส่วนปี 66 คาดเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 30-40% เนื่องจากจะมีการปิดดีล M&A ธุรกิจต้นน้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ธ.ค.65) ราคาหุ้น บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI ณ เวลา 14:54 น. อยู่ที่ระดับ 22.10 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 3.27% สูงสุดที่ระดับ 22.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 21.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 74.70 ล้านบาท
นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRI เปิดเผยว่า ราคาหุ้น PRI ที่เข้าซื้อขายวันแรกสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาไอพีโอ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท ที่เห็นถึงพื้นฐานธุรกิจดี มีศักยภาพในการเติบโตอีกไกลในอนาคต ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคต
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ลงทุนในการขยายกิจการที่เกี่ยวข้อง ลงทุนสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีในการให้บริการลูกค้า รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมจะเติบโตที่ระดับ 30% เหมือนอดีตที่ผ่านมา จากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัว ซึ่ง PRI เป็นผู้ให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ซึ่งมีบริการอย่างหลากหลาย ที่จะเติบโตล้อไปกับตลาดอสังหาริมทรัพย์
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 บริษัทเชื่อว่าจะเติบโตกว่าไตรมาส 3/2565 จากการรับรู้รายได้ประจำจากงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีมูลค่ารวม 328 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในไตรมาส 4/2565 ประมาณ 40% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2566 ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้รวม 604.26 ล้านบาท เติบโต 95.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจในปี 2565 รายได้จะเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 30%
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 66 บริษัทคาดว่าจะมีโอกาสเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ 30-40% เนื่องจากในปี 2566 จะมีการปิดดีลซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจต้นน้ำ คือ กลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาและออกแบบทางวิศวกรรม (Per-Living Services) เข้ามา 1 บริษัท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา และคาดว่าการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ จะช่วยให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 29-30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 26%