ดักเก็บ! ITC ปิดโลว์ 30 บ. โบรกฯชี้ 3 ปีกำไรโตเฉลี่ย 34% เคาะเป้า 45 บ.
ITC ร่วงหนัก! ปิดโลว์ของวันแตะ 30 บาท แนะซื้อเมื่ออ่อนตัว ฟากโบรกฯ ชี้ 3 ปีข้างหน้ากำไรโตไม่หยุดเฉลี่ย 34% เคาะเป้าสูง 45 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 ธ.ค.65) ราคาหุ้น บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 30.00 บาท ลบ 1.75 บาท หรือ 5.51% สูงสุดที่ระดับ 32.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 30.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 482.55 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ITC เปิดเผยว่า ในอนาคตเร็ว ๆ นี้ ITC จะก้าวขึ้นเป็นผู้ประกอบการธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเบอร์ 1 ของเอเชีย จากเดิมอยู่อันดับ 2 เป็นรองเพียงบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งมีตัวเลขห่างกันเพียงหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น โดย ITC มีแผนขยายตลาดจีนมากขึ้น ถือเป็นตลาดใหม่ที่มีการขยายตัวสูง 20% ต่อปี บวกกับกระตุ้นตลาดเดิม ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และตะวันออกกลาง ที่ยังเห็นการขยายตัวสูงขึ้นทุกปี ตามอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตเฉลี่ย 7% ทุกปี
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายมีรายได้รวมเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้รวม 7,100 ล้านบาท เนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างน้อย 1,300 รายการ
ส่วนในปี 2566 คาดรายได้รวมจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องเฉลี่ย 15% ซึ่งจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ต่ำกว่า 1,000 รายการต่อปี ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ในแต่ละปีจะสร้างรายได้เป็น 15% ของรายได้รวม และมียอดขายเติบโต 8% รวมทั้งกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยวางงบลงทุนไว้ราว 2,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนต่อเนื่องตามแผน นอกจากนี้หลังนำเงินระดมทุนขายไอพีโอไปชำระหนี้สถาบันการเงิน ทำให้ดอกเบี้ยหายไปจำนวนมาก เชื่อว่าจากรายได้รวมที่เติบโต และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงพอร์ตผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่ขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นเกินระดับ 25% และอัตรากำไรสุทธิเกินระดับ 20%
ด้านนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ITC กล่าวว่า หากประเมินจากมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ITC มีโอกาสที่จะเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่เข้าคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ในปี 2566 ส่วนกรณีเรื่องราคาเปิดเทรดวันแรก หรือภายในวันแรก ITC ถือเป็นหุ้น Market Cap ระดับแสนล้านบาท รวมทั้งมองว่าราคาหุ้นจะสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจเองในอนาคต จึงไม่มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงในเรื่องของราคาหุ้น เพราะ 3 ปีข้างหน้ายังประเมินกำไรที่จะเติบโตได้ดีทุกปี
ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นไอพีโอของ ITC คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวม 21,120 ล้านบาท ทำให้หุ้น ITC ถือเป็นหุ้นที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มของตลาดหุ้นไทย โดยมั่นใจว่าภายหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาด SET ทาง ITC จะยังคงมีศักยภาพในการเติบโต และการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตแบบยั่งยืน และสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่ง ITC เป็นบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่น และผลประกอบการมีการเติบโตดีต่อเนื่องทุกปี ทำให้มีนักลงทุน ผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ในประเทศไทย จำนวน 19 ราย และผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ในต่างประเทศ จำนวน 8 ราย คิดเป็นจำนวนหุ้นรวม 333.77 ล้านหุ้น หรือ 50.6% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด
นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเมินรายได้รวมของ ITC ในปี 2565 ไว้ที่ระดับ 19,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 16,529 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 2,721 ล้านบาท ส่วนในปี 2566 ประเมินรายได้รวมไว้ที่ 23,116 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,782 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 ประเมินรายได้รวม 26,824 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5,629 ล้านบาท
โดยประเมินราคาเหมาะสมของปี 2566 ไว้ที่ 41-45 บาท อ้างอิง P/E ที่ 26-28 เท่า เทียบเคียงกับ OEM Peers ที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกัน คือ Yantai และ Petpal ซึ่ง listed ในตลาดจีนปัจจุบันเทรดที่ P/E ปี 2566 ราว 31.8 เท่า และ 27.3 เท่า ตามลำดับ มองว่าสิ่งที่ ITC ทําได้ดีกว่า คือความสามารถในการทำกำไร ดังนั้นการใช้เป้าหมาย P/E ที่ 26-28 เท่า ถือว่าเหมาะสม และยังต่ำกว่า P/E เฉลี่ยของทั้ง 2 บริษัท ที่ 30 เท่า
ขณะที่ มีจุดแข็งคือการได้เปรียบด้านต้นทุนและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้ารายใหญ่ โดยมีบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เป็นบริษัทแม่ ทำให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนการตลาด การพัฒนาด้านการวิจัย และพัฒนา (R&D) ช่วยให้บริการลูกค้าได้ครบวงจร รวมถึงช่วยให้มีภาพลักษณ์ที่ดี และมีนโยบายดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดความยั่งยืน ด้วยประสบการณ์ของทีมผู้บริหารยาวนานเฉลี่ย 20 ปี ทำให้สามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าระดับโลกนานเฉลี่ยถึง 21 ปี สำหรับรายใหญ่ 3 อันดับแรก คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 52.8% ของรายได้ปี 2564 และเฉลี่ย 18 ปี สำหรับ 10 อันดับแรก
นอกจากนี้ ITC ยังควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี มีภาระดอกเบี้ยต่ำ และได้สิทธิพิเศษทางภาษี ทำให้อัตรากำไรโดดเด่นกว่าคู่แข่งอยู่มาก ส่วนแนวโน้มมูลค่าอาหารสัตว์เลี้ยงโลกยังสดใสต่อเนื่อง และที่ผ่านมามีการเน้นพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมมากขึ้น โดยประเมินกำไรปกติปี 2565 จะเติบโตสูง 61% เทียบปี 2564 และอัตราการเติบโตของกำไร 3 ปีข้างหน้า จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 19.4%
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น ITC ให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 40.80 บาทต่อหุ้น สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 39.16 บาท อยู่ 4.2% และคาดว่าจะมี upside ที่ 27.5% จากราคาไอพีโอ 32 บาท หลังประเมินกำไรปกติช่วง 3 ปี (2564-2567) ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 34% ซึ่งประเมินกำไรต่อหุ้น (EPS) ในปี 2565-2567 ที่ 1.40 บาท 1.62 บาท 1.97 บาท ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามประมาณการถือว่าไม่อยู่ในเชิงรุกมากเกินไป หากพิจารณาจากแนวทางการเติบโตในระยะยาวของผู้บริหารที่ตั้งเป้าหมายรายได้ขยายตัว 15% อัตรากำไรขั้นต้น 25% และอัตรากำไรสุทธิ 20% ในทุกปี บ่งชี้ว่า EPS จะอยู่ที่ 1.60 บาท และ 1.89 บาท ในปี 2566 และ 2567
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/65 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 จาก 1. การขยายกำลังการผลิต 2. ราคาขายเฉลี่ย (ASP) สูงขึ้น และ3. กิจกรรมเศรษฐกิจที่ฟื้นกลับมา แต่อาจจะลดลงจากไตรมาส 3/5 เพราะสินค้าคงคลังของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2565 จากเทศกาลเฉลิมฉลองที่กำลังจะมาถึงช่วงที่ร้านค้าหลายแห่งจะหยุดให้บริการ Valuation and Recommendation