2 หุ้น “โรงไฟฟ้า” บวกสวนตลาด รับข่าวขึ้นค่า Ft หนุนอัพไซด์กำไรเพิ่ม

2 หุ้นโรงไฟฟ้า “GPSC-BGRIM” พุ่งสวนตลาด รับอานิสงค์ กกพ. ประกาศขึ้นค่า Ft ภาคธุรกิจงวดใหม่รอบ ม.ค.-เม.ย.66 โบรกคาดหนุนกำไรปี 66 เพิ่มขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 ธ.ค. 65) ราคาหุ้น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ปิดตลาดที่ระดับ 72.50 บาท บวก 2.00 บาท หรือ 2.84% สูงสุดที่ระดับ 73.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 69.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,257.78 ล้านบาท

ด้านบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM อยู่ที่ระดับ 39.25 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 3.29% สูงสุดที่ระดับ 39.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 37.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,417.55 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (15 ธ.ค.65) มองผลเป็นเชิงบวกต่อการประกาศขึ้นค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้านอกภาคครัวเรือน หรือก็คือภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งโรงไฟฟ้าของ GPSC, BGRIM, GULF ที่มีการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม/IU ได้ประโยชน์โดยตรง

ทางด้านนักวิเคราะห์มองว่า ตลาดจะตอบรับเชิงบวกต่อการปรับเพิ่ม Ft ที่ กกพ. ปรับขึ้นราว 97 สตางค์/หน่วย ซึ่งมากกว่าปัจจัยลบค่าก๊าซฯที่ปรับขึ้นราว 42 บาท/mmbtu (ผลักภาระก๊าซฯต้นทุนสูงมาให้ผู้ใช้ไฟฟ้าอื่น) คำนวณจาก 542 บาท/mmbtu ตาม fig1 Vs. 500 บาท/mmbtu ที่อ้างอิงจากราคา SPP ก๊าซฯ ม.ค.-เม.ย. 66 ของ PTT

โดยนักวิเคราะห์ประเมินผลกระทบสุทธิจากการปรับขึ้น ft รอบ ม.ค.-เม.ย.66 จะเป็น upside ต่อประมาณการกำไรปกติของปี 66 3 กลุ่มบริษัท ดังนี้

1.GPSC ราว 1,520 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27% จาก 5,666 ล้านบาท

2.BGRIM ราว 427 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26% จาก 1,624 ล้านบาท

3.GULF ราว 479 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3% จาก 17,224 ล้านบาท

ทั้งนี้สัดส่วนปริมาณขายไฟ IU ของ GPSC ราว 35%, BGRIM 25%, GULF 13% โดยนักวิเคราะห์มองว่า GPSC เป็นผู้ได้ประโยชน์มากสุด

ส่วนด้านของ upside ต่อราคาเป้าหมายปี 66 ทางนักวิเคราะห์ประเมินว่า GPSC ราว 0.5 บาท/หุ้น, BGRIM 0.16 บาท/หุ้น และ GULF ราว 0.04 บาท/หุ้น ซึ่ง upside ดังกล่าวมาจากการประเมิน upside จากการขึ้น ft ในช่วง 4 เดือน

สำหรับปัจจัยบวกจากค่า ft ข้างต้น สุดท้ายจะขึ้นกับการ support ของ PTT ว่าจะเป็นไปตามสมมติฐานของ กกพ. หรือไม่ โดยนักวิเคราะห์คาดจะทราบผลการประชุมฯ ในวันที่ 16 ธ.ค.65

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ยังคงมุมมองกำไรสุทธิกลุ่ม ไตรมาส 4 ปี 65 คาดจะโตทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน เพราะ fx gain ก้อนใหญ่เข้ามาหนุน (หาก BGRIM มีด้อยค่าฯก้อนใหญ่ จะเหลือเพียง flat เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน, โตจากไตรมาสก่อนแทน) หากตัดรายการพิเศษออก คาดกำไรปกติกลุ่ม ไตรมาส 4ปี 65 โตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนทรงตัวจากไตรมาสก่อน

โดยการโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนตามกำไรขั้นต้นและส่วนแบ่งกำไรฯ ที่เพิ่ม เพราะ โรงไฟฟ้า IPP (โรง RG) ปิดซ่อมลดลง + มีโรงใหม่ COD เพิ่ม รวมถึง โรงไฟฟ้าในต่างประเทศมีค่าไฟที่เพิ่มขึ้น/ ปิดซ่อมลดลง/ COD เพิ่ม ส่วนการทรงตัวจากไตรมาสก่อนเพราะแม้กำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้น จากส่วนการขายไฟ IU ของโรง SPP ในประเทศได้การปรับขึ้นค่า ft หนุนเต็มไตรมาส แต่ถูกฉุดจากส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ลดลงจากไตรมาส เพราะโรงไฟฟ้าพลังน้ำออกจาก high season, โรงไฟฟ้า IPP เข้าสู่ low season และโรงไฟฟ้าในต่างประเทศบางส่วนมีปิดซ่อม หากพิจารณารายบริษัท คาด BGRIM (ฐานต่ำเพราะไตรมาส 3 ปี 65 ขาดทุน) ส่วน GPSC, GULF จะมีกำไรโต จากไตรมาสก่อน เด่นสุดตามลำดับ จาก margin ขายไฟ IU ที่เพิ่มขึ้น ส่วน RATCH ลดลงจากไตรมาสก่อนมากสุด เพราะโรงหงสาปิดซ่อม

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงน้ำหนัก Bullish กลุ่มโรงไฟฟ้า เลือก GPSC (Buy; TP84) เป็น top pick และมองปัจจัยบวกต่อกลุ่มในปี 66  เข้ามาต่อเนื่องทั้ง 1.โรงไฟฟ้าใหม่ COD, เริ่มรับรู้โรงไฟฟ้าที่ M&A เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 1-4 ปี 66  (EGCO, GULF, RATCH) 2. แรงกดดันจากต้นทุนพลังงานที่มีต่อกลุ่มจะผ่อนคลายมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 66 เป็นต้นไป รวมถึงการปรับขึ้น ft ต่อเนื่อง หนุนการฟื้นของ GPM ขายไฟ IU ก้าวกระโดด  3.upside จากโครงการระหว่างศึกษา เจรจาทั้งในและต่างประเทศ ที่คาดเห็นความคืบหน้าในครึ่งแรกของปี 66 ทั้งนี้นักวิเคราะห์เลือก top pick เป็น GPSC ที่คาดได้ประโยชน์ ft ขาขึ้น มากสุดในกลุ่ม และราคาหุ้นยัง laggard

Back to top button