BCP บวกต่อ 2% หลังไม่ปฏิเสธดีลซื้อ “เอสโซ่” สัดส่วน 65%

BCP บวกต่อ 2% หลังไม่ปฏิเสธดีลซื้อ “เอสโซ่” สัดส่วน 65% “กสิกรไทย” มองซื้อราคา 12-14 บาทไม่แพง หากซื้อจาก “เอ็กซอน” เจ้าเดียว คาดใช้เงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยรวมเทนเดอร์ฯ จะใช้เงิน 4.8 หมื่นล้านบาท เชื่อไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน รอประชุมบอร์ดภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ และปิดดีลอย่างเร็วสุดภายใน Q3/66


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(3ม.ค.66)ราคาหุ้นบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ณ เวลา 10:12 น. อยู่ที่ระดับ 32.00 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.59% ราคาหุ้นสูงสุด 32.25 บาท ราคาต่ำสุด 32.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 38.06 ล้านบาท

ทั้งนี้ภายหลังจาก “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้นำเสนอข่าว BCP เตรียมเข้าซื้อกิจการ ESSO จากผู้ถือหุ้นเดิม หลังจากที่มีการเจรจาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นมีรายงานว่าราคาซื้อขายหุ้น ESSO จะอยู่ระหว่าง 12-14 บาทต่อหุ้น และ BCP จะมีการนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวภายในต้นเดือน ม.ค.นี้แล้วนั้น

ล่าสุดนางสาววรรณสิริ ตรงตระกูลวงศ์ เลขานุการ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อว่า ขณะนี้บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างเตรียมการเข้าซื้อกิจการของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO นั้น บริษัทขอชี้แจงว่า คณะกรรมการบริษัทมีการพิจารณาการลงทุนอยู่เสมอ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป รวมถึงรายละเอียดและเงื่อนไขการลงทุนใด ๆ ทั้งนี้การตัดสินใจต่าง ๆ ต้องเป็นไปเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสอดคล้องกับนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการดำเนินธุรกิจของบริษัท ที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด หากมีข้อสรุปที่ชัดเจน บริษัทจะแจ้งข่าวผ่านระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป

ด้านบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ชี้แจงว่า ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อบางฉบับ ซึ่งอ้างถึงบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นั้น บริษัทขอเรียนว่า บริษัทไม่ขอออกความเห็นเรื่องข่าวลือหรือการคาดเดาใด ๆ

ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย  จำกัด (มหาชน) คาดว่า ดีลดังกล่าวจะใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 6 เดือน ก่อนจะมีการซื้อขายหุ้นกันอย่างเป็นทางการ โดยหาก BCP เข้าซื้อหุ้น ESSO จาก EXXONMOBIL ASIA HOLDINGS PTE. LTD ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 65.99% จะใช้เงินลงทุนประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือ หรือเทนเดอร์ออฟเฟอร์ คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 4.2-4.8 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า BCP อาจไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน โดยราคาที่ซื้อระหว่าง 12-14 บาทต่อหุ้น ถือว่าไม่แพง คิดจาก EBITDA ที่ 3.1-3.7 เท่า โดยเชื่อว่า ESSO จะต้องตัดหนี้ออกไปให้หมดก่อนที่จะทำการซื้อขายกัน ซึ่งต้องรอติดตามความชัดเจนจากการประชุมบอร์ดบางจากภายใน 1-2 สัปดาห์นี้

สำหรับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคปของ ESSO ณ วันที่ 29 ธ.ค. 2565 มีขนาดประมาณ 4.49 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับมาร์เก็ตแคปของ BCP ที่มีขนาด 4.26 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ หากการควบรวมกิจการเกิดขึ้นจริง BCP จะมีส่วนแบ่งตลาดจำหน่ายน้ำมัน (มาร์เก็ตแชร์) เพิ่มขึ้นเป็น 25% แบ่งเป็นของบางจากเดิม 15% และเอสโซ่ 10% รองจากบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่มีมาร์เก็ตแชร์ที่ 35% สถานีบริการน้ำมันบางจากจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 พันแห่ง แบ่งเป็น บางจาก 1.3 พันแห่ง และเอสโซ่ 820 แห่ง

โดยดีลดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อ BCP ทั้งในแง่การดำเนินงานและ Synergy เนื่องจาก ESSO เป็นสินทรัพย์ดำเนินงานอยู่แล้ว หรือ Operation Asset ที่หากซื้อก็จะสามารถรับรู้กำไรได้ทันที และในแง่ Synergy จะเกิดมูลค่าได้มาก โดยเฉพาะส่วนงานของโรงกลั่น BCP เป็น Hydro Cracker ที่ผลิตน้ำมันดีเซล ส่วนโรงกลั่น ESSO เป็นระบบ FCC ที่เน้นน้ำมันเบนซิน ทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน

นอกจากนี้ โรงกลั่น BCP ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ต้องขนส่งน้ำมันจากเรือใหญ่มาเรือเล็กจากคลังที่ศรีราชาที่เช่าอยู่ จึงมีค่าใช้จ่ายสูง  แต่หากมาใช้คลังน้ำมัน ESSO จะสามารถประหยัดค่าเช่าได้ปีละ 500 ล้านบาท อีกทั้งพื้นที่โรงกลั่น BCP ในกรุงเทพฯ เป็นที่ราชพัสดุ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะถูกเรียกคืนเมื่อใด หากใช้โรงกลั่น ESSO ที่ศรีราชา ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในประเด็นนี้

ด้านการตลาด BCP ขายปลีกน้ำมันเท่ากับกำลังกลั่น และยังไม่มีแหล่งน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มเติมเพื่อมาขยายการขาย ขณะที่ ESSO นำน้ำมันจากโรงกลั่นมาขายปลีกเพียงครึ่งเดียว สามารถขยายการขายปลีกน้ำมันได้เพิ่ม ซึ่งจะช่วยให้การขายปลีกน้ำมันของ BCP ขยายตัวได้มากขึ้น

Back to top button