BCP คึกต่อ 7% หายห่วงซื้อ “เอสโซ่” ไม่ต้องเพิ่มทุน โบรกชี้ดันมูลค่าหุ้นอีก 8-10 บ.
BCP บวกต่อ 7% นักลงทุนไล่เก็บหุ้นเข้าพอร์ต หลังโบรกฯ มองดีลนี้บางจากซื้อของถูกกว่าคาด หลังเทกฯ เอสโซ่ดันมูลค่าต่อหุ้นเพิ่ม 8-10 บาท ราคาเป้าหมาย 50 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 ม.ค. 66) ราคาหุ้น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ล่าสุด ณ เวลา 10:46 น. อยู่ที่ระดับ 37 บาท บวก 2.50 บาท หรือ 7.25% สูงสุดที่ระดับ 37.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 35.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.07 พันล้านบาท
สำหรับราคาหุ้น BCP ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากกรณีที่ทาง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้บางจากฯ เข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 65.99% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (ExxonMobil) รวมถึงการทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของ ESSO จำนวนไม่เกิน 1,177,108,000 หุ้น คิดเป็น 34.01% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ ในราคาเดียวกันกับราคาซื้อหุ้น ESSO ในการธุรกรรมครั้งนี้ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้น
โดยราคาซื้อขายหุ้นนั้นมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น หากอ้างอิงตามงบการเงินสอบทานในไตรมาส 3/2565 ของ ESSO จะได้ราคาเบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อหุ้น โดยราคาสุดท้ายจะมีการปรับตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ โดยตั้งราคารับซื้อระหว่าง 8.84-9.63 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ บางจากฯ ได้เตรียมวงเงินสำหรับการทำธุรกรรมในครั้งนี้แล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อหุ้นกว่า 3 หมื่นล้านบาท และหนี้สินอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งมาจากเงินกู้จากสถาบันการเงินรายใหญ่ ซึ่งได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว และกระแสเงินสดของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ มูลค่ากิจการของ ESSO ประเมินไว้ที่ประมาณ 55.5 หมื่นล้านบาท คำนวนจากเอสโซ่มีน้ำมันในถัง 7.4 ล้านลิตร คิดเป็นประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท เงินลงทุนในแทปไลน์ ประมาณ 3,000 ล้านบาท, ที่ดิน อ.ศรีราชา จำนวน 800 ไร่ คิดเป็นประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท สถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ 750 แห่ง คิดเป็นประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่คิดโรงกลั่นฯ ดังนั้นเหมือนโรงกลั่นฯ ได้ฟรี จึงเป็นราคาที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ยังมีโรงงานพาราไซลีน ขนาด 5 แสนตัน ที่ปัจจุบันหยุดเดินเครื่อง เพราะสเปรดปิโตรเคมีต่ำมาก ดังนั้นหากสเปรดกลับมาดีก็มีแผนจะกลับมาเดินเครื่องในอนาคต
อย่างไรก็ตาม บางจากฯ จะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณา ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ คาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้เร็วสุดในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ หรือช้าสุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ นอกจากนี้ภายหลังจากปิดดีลดังกล่าวแล้ว จะส่งผลให้ D/E ของบางจากเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 0.6 เท่า เป็น 1.7 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สูงเกินไป เพราะต่ำกว่า 2 เท่า ดังนั้นมั่นใจว่าการเงินจะไม่ตึงตัวอย่างแน่นอน
สำหรับการลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 1.74 แสนบาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ 750 แห่ง โดยการ Synergy กับ ESSO จะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 2.94 แสนบาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้ยิ่งขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ นอกจากนี้คาดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่าย 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังรวมถึงมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มพูนทักษะและความสามารถของพนักงาน สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจและก่อให้เกิดการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า และเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มบริษัทบางจากในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ส่วนการเปลี่ยนโลโก้จากเอสโซ่มาเป็นบางจากฯ นั้น คาดว่าทยอยดำเนินการภายในระยะเวลา 2 ปี อย่างไรก็ตาม ExxonMobil จะยังคงดำเนินธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไป
“บางจากฯ ซื้อสินทรัพย์ของ ESSO ที่เป็นโรงกลั่นฯ และสถานีบริการน้ำมัน ไม่ได้ซื้อแบรนด์ ซึ่งผลิตภัณฑ์จากโรงกลั่นฯ จะเปลี่ยนเป็นมาตรฐานบางจากฯ ส่วนโรงงานพาราไซลีนที่หยุดเดินเครื่องขณะนี้ ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเดินเครื่องหากสเปรดดีขึ้น ส่วนเรื่องการเพิ่มทุนนั้น หากดูงบการเงินของบางจากฯ จะเห็นว่ามีแคชโฟลว์จำนวน 4 หมื่นล้านบาท และได้คุยกับสถาบันการเงินรายใหญ่ 1 แห่ง ที่ยินดีให้กู้ทั้งก้อน 6 หมื่นล้านบาท ดังนั้นเรื่องการเงินจึงไม่น่ากังวล ซึ่งบางจากฯ ได้เตรียมพร้อมด้านการเงินไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนหนี้สินของ ESSO ที่เกิดจากการกู้ยืมจากบริษัทแม่ จำเป็นต้องชำระคืน” นายชัยวัฒน์ กล่าว
ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คลังอยู่ระหว่างให้ทีมวิเคราะห์ราคาหุ้น ESSO ที่บางจากประกาศทำเทนเดอร์ฯ ซึ่งคลังอาจพิจารณาไม่ขายและถือหุ้นอยู่เหมือนเดิม เนื่องจากราคายังไม่น่าสนใจต่ำกว่าเดิมที่ประเมินไว้ 12-14 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามยังต้องเสนอให้ระดับนโยบายพิจารณาอีกครั้ง
ด้าน นายสุวัฒน์ สินสาฎก ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน กล่าวว่า กรณี BCP ซื้อหุ้น ESSO มองว่าจะส่งผลบวกต่อ BCP เนื่องจากมีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น และมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้น รวมทั้งธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (นอนออยล์) ของ BCP คือร้านกาแฟอินทนิล สามารถขยายในสถานีบริการเอสโซ่ได้ ดังนั้นหากประเมินจากกำลังการกลั่นที่เพิ่มเป็น 2.94 แสนบาร์เรลต่อวัน และจำนวนสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 2,100 แห่ง คาดว่าจะทำให้ BCP มีกำไรจากเดิมอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี จะเพิ่มขึ้นอีกปีละ 3,000-5,000 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรเพิ่มเป็นมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
ขณะเดียวกัน คาดว่าจะส่งผลต่อราคาหุ้น BCP ในระยะสั้น 2-5 บาทต่อหุ้น และในระยะกลาง 8-10 บาทต่อหุ้น โดยรับแรงหนุนจากการ Synergy เนื่องจากวอลุ่มจากโรงกลั่นฯ เพิ่มขึ้น กำไรจากสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้น และต้นทุนที่ลดลง นอกจากนี้คาดว่าในอนาคต BCP จะแยกธุรกิจน้ำมันเพื่อเข้าจะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มองเป็นบวกต่อ BCP ราคาเป้าหมาย 50 บาท ในระยะยาวต่อการเข้าซื้อ ESSO ของ BCP ส่วน ESSO ช่วงราคาเข้าซื้อที่ต่ำลงกว่ากระแสข่าวก่อนหน้า จะสร้างแรงกดดันราคาหุ้น
ทั้งนี้ ประเมินหากเข้าซื้อที่ 8.84-9.63 บาทต่อหุ้น BCP จะต้องใช้เงินสูงสุดราว 30,594-33,328 ล้านบาท โดยการเข้าซื้อ ESSO เบื้องต้นจะสร้าง upside ต่อกำไรปกติ 2567 ของ BCP ได้ราว 74% หรือราว 5,827 ล้านบาท
ในเชิงกลยุทธ์ เติบโตระยะยาวมอง positive เนื่องจากสามารถขยายธุรกิจได้รวดเร็วโดยไม่ส่งให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมเพิ่มสูงมาก โดยด้านธุรกิจโรงกลั่น กำลังการกลั่นของ BCP จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของกลุ่มได้ทันที ส่วนด้านธุรกิจการตลาด (สถานีบริการน้ำมัน) จะเพิ่มจำนวนสถานีบริการฯ ได้ทันที 59% จนขึ้นมาใกล้กับอันดับ 1 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และอันดับ 2 อย่าง บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดสินค้าน้ำมันหล่อลื่น หรือ Lube, บริการซ่อมรถยนต์ รวมถึงบริหารด้านขนส่งได้ในระยะยาว
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นหลังจากการประชุมกับ BCP เริ่มเห็น Synergy จากการซื้อที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งธุรกิจน้ำมันและโรงกลั่น ธุรกิจน้ำมันน่าจะเพิ่มปริมาณการขายที่มากขึ้น ธุรกิจโรงกลั่นช่วยเพิ่ม Utilization โรงกลั่น Esso และราคาซื้อขาย 9-10 บาท (3.0-3.3 หมื่นล้านบาท) ถือว่าถูกมากสำหรับบางจาก มองในเชิงเป็นมูลค่าน้ำมัน 7.5 ล้านบาร์เรล หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท สถานีน้ำมัน 750 แห่ง (1.4 หมื่นล้านบาท) ก็เกินมูลค่าที่ซื้อแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีมูลค่าที่ดินกว่าอีก 800 ไร่ สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะนำมาซื้อนั้นมาจากทั้งเงินสดในบริษัท และเงินกู้ Net D/E อยู่ต่ำ 0.8 เท่า ไม่ต้องมีการเพิ่มทุน มูลค่า Synergy ต่อหุ้นประมาณ 1.5 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 3-4/2566
บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเป็นบวกต่อดีลนี้ โดยประเด็นสำคัญคือ ราคาซื้อขายหุ้นที่ต่ำกว่ากระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่ 12-14 บาท และต่ำกว่าราคาตลาดที่ 9.20 บาท ทำให้ใช้เม็ดเงินที่ซื้อเพียงน้อยลง ซึ่งจะไม่กระทบต่อฐานะการเงินของ BCP ซึ่งปัจจุบันก็มี Net IBD/E ไม่สูง 0.65 เท่าอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มกำลังการกลั่นกว่า 140% โดย ESSO มีกำลังการกลั่น 1.74 แสนบาร์เรล/วัน สูงกว่า BCP ที่ 1.23 แสนบาร์เรล/วัน โดย BCP คาดว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่า 2 เท่า
สำหรับธุรกิจและการทำกำไร ด้วยราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาตลาดของ ESSO ก็อาจจะทำให้ BCP ไม่ต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติมเพื่อซื้อหุ้น ESSO ส่วนที่เหลือจากรายย่อย แนะนำ “ซื้อ”