MOSHI บวก 4% “ออลไทม์ไฮ” เก็งงบ Q4/65 พีกสุดของปี
MOSHI บวก 4% “ออลไทม์ไฮ” เก็งงบไตรมาส 4/65 พีกสุดของปี จับตาหนุนรายได้ปี 65 โตเด่น 60% ฟากโบรกประสานเสียง 3 ปีข้างหน้ากำไรโตไม่หยุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ม.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI ณ เวลา 16:11 น. อยู่ที่ระดับ 44.75 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.07% สูงสุดที่ระดับ 45 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 43.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 113.60 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจนสามารถทำออลไทม์ไฮ (สูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯ)
โดยก่อนหน้านี้นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOSHI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,263.84 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 131.27 ล้านบาท โดยบริษัทเชื่อว่าอัตราการเติบโตของรายได้จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 1,253.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 788.40 ล้านบาท ขณะเดียวกันในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 134.63 ล้านบาท เติบโต 192% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายสง่า กล่าวต่อว่า ทิศทางการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/65 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี 65 ซึ่งเบื้องต้นคาดว่ารายได้จะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าไตรมาส 3/65 ที่มีอัตราการเติบโตที่ระดับ 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลที่มีการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างสูง ทั้งฮาโลวีน, คริสต์มาส และปีใหม่ เป็นต้น ประกอบกับเป็นช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
ส่วนในปี 66 บริษัทเชื่อว่ารายได้จะยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องตามกำลังซื้อที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากผ่านพ้นสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) มีการเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 65 ยอดขายจากสาขาเดิมเติบโตที่ประมาณ 50% ประกอบกับบริษัทจะมีการออกสินค้าใหม่ เพื่อตอบโจทย์ฐานลูกค้าเดิม รวมถึงฐานลูกค้าใหม่อยู่ตลอดเวลา
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรปี 2565-2567 ของ MOSHI จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 29.8% ต่อปี หนุนจากยอดขายรวมที่คาดจะเติบโตสูงเฉลี่ย (CAGR) ที่ 26.8% ต่อปี ภายใต้สมมติฐานการเปิดสาขาใหม่ 11 แห่งในปี 2565, ในปี 2566 จำนวน 18 แห่ง และในปี 2567 จำนวน 18 แห่ง ขณะที่ SSSG ในช่วง 3 ปี จะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยในปี 2565 SSSG จะอยู่ที่ 27% ขณะที่ในปี 2566 SSSG จะอยู่ที่ 20% และในปี 2567 SSSG จะอยู่ที่ 5%
นอกจากนี้ประเมินภาพรวมยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาจะกลับมาต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 เล็กน้อยในปี 2567 ซึ่งจากฐานยอดขายที่ใหญ่ขึ้นจะเพิ่ม economy of scale และการต่อรอง Supplier หนุนอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวดีขึ้นเป็น 51.8% ในปี 2565 ขณะที่ในปี 2566 อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 52.5% และในปี 2567 อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 53.0% ด้านค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหาร (SG&A) ส่วนใหญ่มาจากค่าเสื่อม, ค่าเช่า และค่าพนักงานตามสาขา ซึ่งเป็นต้นทุนคงที่เป็นหลัก ภาพรวมจึงได้กำไรในช่วง 3 ปี (ปี 2565-2567) จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 29.8% ต่อปี
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินอัตราการเติบโตของกำไรปี 2566 ของ MOSHI อยู่ที่ 53% ซึ่งสูงกว่ากลุ่ม อีกทั้งมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในระยะยาวจากการขยายสาขา และการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์ได้คาดการณ์ยอดขายในปี 2565 เพิ่มขึ้น 42% และยอดขายในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 29% เนื่องจากการฟื้นตัวของการบริโภค จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาจาก 100 สาขาในปัจจุบันเป็นมากกว่า 165 สาขาในปี 2568
ขณะที่ตลาดของสินค้าไลฟ์สไตล์มีแนวโน้มขยายตัวสูง เนื่องจากมูลค่าตลาดมีสัดส่วนเพียง 0.2% ของค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้ากลุ่มค้าปลีกในปี 2564 โดยคาดว่าตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในปี 2564-2569 จะมี CAGR ที่ 20.4% ซึ่งการที่ MOSHI เพิ่มสัดส่วนสินค้านำเข้าและได้ผลบวกจากการประหยัดจากขนาดจะทำให้อัตรากำไรสูงขึ้น จึงคาดว่ากำไรในปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 55% อยู่ที่ 203 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 11.4% และปี 2566 กำไรจะเพิ่มขึ้น 53% อยู่ที่ 311 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 13.5%
ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ระบุว่า MOSHI ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำร้านสินค้าไลฟ์สไตล์ด้วยกลยุทธ์ด้านสินค้าที่แตกต่างจากการออกแบบโดยเฉพาะ (Exclusive) และราคาย่อมเยาจากโอกาสเปิดสาขาเพิ่มทั่วประเทศได้อีกต่อเนื่องในระยะยาว จึงคาด MOSHI จะเติบโตสูงด้วย EPS (กำไรต่อหุ้น) ที่ 27% ต่อปี ในช่วงปี 2566-2568 และให้มูลค่า MOSHI ที่ 8,104 ล้านบาท
จากการสำรวจโดย Frost and Sullivan มูลค่าตลาดค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา (ปี 2559-2564) มีการเติบโตที่อัตรา 11.2% ต่อปี มาอยู่ที่ 3,400 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 0.2% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกรวม ด้วยการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (30% ของยอดขาย), การกลับมาใช้ชีวิตปกติ (ไปโรงเรียน, ทำงาน, จัดงานสังสรรค์), ความเป็นเมืองและความนิยมสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ดูทันสมัยสูงขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่าตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในช่วง 5 ปีจากนี้ (2565-2569) จะเติบโตในอัตรา 20.4% ต่อปี
ดังนั้น จึงคาดการณ์ยอดขายในปี 2565 ไว้ที่ 1,748 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 199 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2566 จะมียอดขาย 2,339 ล้านบาท และจะมีกำไรสุทธิ 302 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 จะมียอดขาย 2,878 ล้านบาท และจะมีกำไรสุทธิ 404 ล้านบาท