STARK ปิดพุ่ง 8% จับตากำไรปี 65 “นิวไฮ” แตะ 3 หมื่นล้าน
STARK ปิดพุ่ง 8% จับตากำไรปี 65 “นิวไฮ” แตะ 3 หมื่นล้าน ด้านทริสฯ ให้อันดับเครดิตองค์กรที่ BBB+ แนวโน้ม Stable คาดปี 65-67 รายได้ 2.8-3.1 หมื่นล้านบาท/ปี ส่วนอีบิทด้า 4.5-5.8 พันล้านบาท/ปี ชี้สภาพคล่องทางการเงินเพียงพอใช้ลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(20 ม.ค.) ราคาหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ปิดตลาดที่ระดับ 3.04 บาท บวก 0.22 บาท หรือ 7.80% ราคาสูงสุด 3.14 บาท ราคาต่ำสุด 3.14 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.05 พันล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ STARK เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ยังคงเป้าหมายรายได้ไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท และมั่นใจจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยจะมาจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิล ที่ตลาดยังเติบโตได้ทั้งจากการขยายตัวของความต้องการไฟฟ้าทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และตลาดต่างประเทศ โดยการขยายตัวของงานที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) โดยเฉพาะโครงการสายไฟลงใต้ดิน และ Renewable Energy (RE) อีกทั้งมีการพัฒนาสินค้าใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ปัจจัยพื้นฐานของ STARK ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยยังคงมีความมั่นคงและแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก รวมถึงความสามารถในการสร้างผลการดำเนินงานทั้งรายได้และกำไรให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”
สำหรับปัจจุบันบริษัทมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) มากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมีงานที่กำลังอยู่ระหว่างการประมูลติดตามอยู่อีกมาก ทั้งในประเทศไทย เวียดนามและต่างประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งแสวงหา New S-curve ให้กับธุรกิจตลอด เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
ด้านบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ระบุว่า บริษัทยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ STARK ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยยังคงสะท้อนถึงตำแหน่งผู้นำของบริษัทในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนชื่อเสียงที่แข็งแกร่ง และประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานของบริษัทลูกคือ บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ จำกัด รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นจากกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบและความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
โดยกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสายไฟฟ้าแรงดันปานกลางจนถึงแรงดันสูงเป็นพิเศษนั้น มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ไม่รวมผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นเป็น 19.8% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จาก 17.5% ในปี 2564 และ 14.5% ในปี 2563
ทั้งนี้ ในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทน่าจะได้ประโยชน์จากอุปสงค์ของสายไฟฟ้าที่ยังแข็งแกร่งในประเทศไทยและในประเทศเวียดนาม อัตรากำไรของบริษัทมีแนวโน้มที่จะคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากบริษัทยังคงเน้นการจำหน่ายสายไฟฟ้าที่มีมูลค่าสูงและยังคงดำเนินโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในช่วงระหว่างปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 28,000-31,000 ล้านบาทต่อปี
ส่วน EBITDA Margin นั้นจะคงอยู่ในช่วง 15-18% หรือคิดเป็นกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ประมาณ 4,500-5,800 ล้านบาทต่อปี ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าสถานะทางการเงินของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับเดิม โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ในช่วง 2.5-4 เท่าใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน
รวมถึงในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่า แหล่งเงินทุนของบริษัทน่าจะเพียงพอต่อความต้องการใช้เงิน โดยแหล่งเงินทุนดังกล่าวประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 450 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,700 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่การใช้เงินทุนหลัก ๆ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นจะประกอบด้วยการชำระหนี้เงินกู้จำนวนประมาณ 1,970 พันล้านบาท และการลงทุนตามแผนอีกประมาณ 960 ล้านบาท รวมถึงหุ้นกู้มูลค่ารวม 2,780 ล้านบาทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2566 นั้น บริษัทน่าจะใช้วิธีออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน ในการนี้ทริสเรทติ้งยังไม่ได้นับเงินเพิ่มทุนมารวมไว้ในการประเมินสภาพคล่อง โดยบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนและได้รับเงินจำนวน 5,580 ล้านบาทในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา