STI พุ่งแรง 26% “ออลไทม์ไฮ” เก็ง UV ถือหุ้นใหญ่เสริมธุรกิจ-อัพเป้ารายได้ปีนี้โตกว่า 10%
STI พุ่งกระฉูด 26% “ออลไทม์ไฮ” เก็ง UV ซื้อหุ้นเพิ่ม 12% ดันสัดส่วนถือหุ้นใหญ่ 38.12% เสริมแกร่งธุรกิจ-เล็งอัพเป้ารายได้ปีนี้โตเกิน 10% แถมแบ็กล็อกแน่น 4,500 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 66
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ราคาหุ้นบริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ณ เวลา 15:47 น. อยู่ที่ระดับ 7.50 บาท บวก 1.55 บาท หรือ 26.05 % ราคาสูงสุด 7.70 บาท ราคาต่ำสุด 5.80 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 491.68 ล้านบาท ราคาหุ้นออลไทม์ไฮ(สูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯ)
โดยล่าสุดนายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ STI เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 ม.ค.66 บริษัท ยูนิเวนเจอร์ แคปปิตอล จำกัด (UVCAP) เป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ STI เข้าลงทุนซื้อหุ้น STI เพิ่มอีก 72.36 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 12% ของหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมดของ STI ในราคาหุ้นละ 5.60 บาท มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 405.22 ล้านบาท ส่งผลให้ UVCAP มีสัดส่วนถือหุ้นของ STI รวมทั้งหมด 229.86 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 38.12% ของหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด จากเดิม 157.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.12% และได้ทำรายการเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2566
โดยการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว มาจากการลงทุนซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของ STI ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัท 5 ราย ประกอบด้วย 1. นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ เหลือสัดส่วนถือหุ้น 66.66 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 11.06% จากเดิม 90 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 14.93% 2. นายไพรัช เล้าประเสริฐ เหลือสัดส่วนถือหุ้น 50.19 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 8.325% จากเดิม 70.24 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 11.65% 3. นายสมจิตร์ เปี่ยมเปรมสุข เหลือสัดส่วนถือหุ้น 50.19 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 8.32% จากเดิม 67.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 11.19% 4. นายอิสรินทร์ สุวัฒโน เหลือสัดส่วนถือหุ้น 20.15 ล้านหุ้น หรือคิด 3.34% จากเดิม 27 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 4.48% และ5. นายกิตติศักดิ์ สุภาควัฒน์ เหลือสัดส่วนถือหุ้น 13.17 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2.19% จากเดิม 18 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2.99%
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ในฐานะผู้ถือหุ้น STI การเข้าลงทุนของ UVCAP ถือเป็น Strategic Partner ที่ร่วมสร้างการเติบโตไปด้วยกันอย่างแท้จริง เนื่องจากยังคงให้ความไว้วางใจต่อทีมผู้บริหารชุดเดิมในการบริหารจัดการองค์กร และให้ความเป็นอิสระในการให้บริการแก่ลูกค้าทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน ด้วยเชื่อมั่นในทีมผู้บริหาร ที่มีความเป็นมืออาชีพ โปร่งใส มีทีมงานที่มีศักยภาพ และความพร้อมในการบริหารงานโครงการก่อสร้างที่หลากหลายประเภท
ขณะที่ STI ยังคงเดินหน้าสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับกลยุทธ์ในการขยายงานที่ปรึกษาบริหารโครงการฯ ให้สอดรับกับทิศทางเศรษฐกิจที่ทยอยกลับมาพร้อมการเปิดประเทศ ด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปี 2566 ภาคเอกชนเริ่มมีการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนนโยบายภาครัฐในการเร่งดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานยังถือเป็นปัจจัยบวกให้กับการดำเนินงานของ STI
นอกจากนี้ STI ได้มองหาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันเพื่อเข้ามาเสริมการทำงานให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยให้กระบวนการทำงานมีความถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยจุดมุ่งหมายในการสร้าง STI เป็นสถาบันทางด้านวิศวกรที่มีมาตรฐานวิชาชีพระดับสากล เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า พร้อมกับเดินหน้าสร้างการเติบโตในทุกมิติ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อผู้ถือหุ้น อย่างมั่นคง และยั่งยืน
ด้านนายไพรัช เล้าประเสริฐ ในฐานะผู้ถือหุ้นของ STI และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ จำกัด (STH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย STI กล่าวเสริมว่า การเข้าลงทุนของ UVCAP ในครั้งนี้ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม มองถึงการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ร่วมสนับสนุนการบริหารงานของ STI ด้วยดีมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขายหุ้น STI ครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานขององค์กรแต่อย่างใด บริษัทยังคงมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ วางแผน และกำหนดกลยุทธ์ และทิศทางการดำเนินงานได้อย่างเป็นอิสระ โดยเฉพาะในปี 2566 ที่มุ่งมั่นบริหารงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และพร้อมพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของ ESG ภายใต้การคำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และ บรรษัทภิบาล
นายสิทธิชัย เสรีพัฒนะพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน STI กล่าวว่า ด้วยการบริหาร และผลการดำเนินงานที่ดีนับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้กลุ่ม UV ให้ความเชื่อมั่นต่อ STI และมีความต้องการลงทุนเพิ่มเติม ผนวกกับมีความต้องการนำผลการดำเนินงานที่ดีไปรวมกับงบการเงินรวม (Consolidated financial statements) ของกลุ่ม UV ซึ่งน่าจะมีการคอนโซลงบตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไป
ขณะที่ทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/65 จะเห็นการรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ฟื้นตัวมากขึ้นกว่าทุกไตรมาสที่ผ่านมา ช่วยหนุนให้ภาพรวมทั้งปี 65 เติบโตได้ตามแผนงาน อย่างไรก็ตามจะมีการประชุมคณะกรรมการ เพื่ออนุมัติและประกาศงบในวันที่ 24 ก.พ. 66 นี้
สำหรับ ณ เดือน ธ.ค. 65 บริษัทมีแบ็กล็อกประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ภายในปี 66 อย่างน้อย 30% และช่วยผลักดันผลการดำเนินงานในปี 66 มีรายได้เติบโตได้มากกว่า 10% โดยภายหลังประกาศงบไตรมาส 4/65 น่าจะมีการปรับเป้าหมายการเติบโตของปี 66 ใหม่ จากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโต 10% จากปี 65 หลังได้รับงานใหม่เข้ามาต่อเนื่อง และภาพรวมอุตสาหกรรม ทั้งภาคเอกชน และภาครัฐ ที่มีการขยายงานโครงการต่าง ๆ มากขึ้น
นอกจากนี้ หลังจากที่ผ่านมาได้งานในส่วนของส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ซึ่งมองว่าตลอดปี 66 น่าจะมีงานโครงการใหญ่ ๆ มูลค่า 500-600 ล้านบาท ออกมาให้ประมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง STI จะเข้าไปประมูลทุกโครงการ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก มูลค่า 500 กว่าล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท และรถไฟรางคู่ที่จะทยอยออกมาหลายโครงการเฉลี่ยโครงการละ 400 ล้านบาท แต่ต้องรอการผลักดันของภาครัฐอีกทีว่าจะออกมากี่โครงการ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมางานโครงการใหญ่ STI จะได้รับงานมาตลอด และเชื่อมั่นว่าโครงการเหล่านี้จะสามารถชนะประมูลเข้ามาเสริมพอร์ตได้เช่นกัน