NDR พุ่งต่อ 5% ลุ้นรายได้ปี 65 ทะลัก 900 ลบ. นิวไฮรอบ 3 ปี รับออเดอร์ฟื้น-ส่งมอบงานเพิ่ม
NDR ทะยาน 5% มั่นใจปีนี้รายได้โต 1,000 ล้านบาท มุ่งขยายตลาดไทย-ต่างประเทศ เน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง แย้มสนใจลงทุนธุรกิจใหม่ ส่วนไตรมาส 4/65 รายได้แจ่ม หนุนรายได้รวมทั้งปี 65 พุ่ง 900 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 ก.พ.66) ราคาหุ้น บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR ณ เวลา 15:32 น. อยู่ที่ระดับ 2.68 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 4.69% สูงสุดที่ระดับ 2.76 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 26.21 ล้านบาท
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ NDR เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายมีรายได้รวม 1,000 ล้านบาท เทียบเท่าหรือมากกว่าปี 2561 ที่เคยมีรายได้รวมสูงสุด 1,012 ล้านบาท และเติบโตกว่าปี 2565 ที่จะมีรายได้รวม 900 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย หรือตัวแทนจำหน่ายมากขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ บวกกับการเน้นสินค้าที่มีความสามารถทำอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูง ทำให้รายได้ขยายตัวไปด้วย แม้ปริมาณจะไม่ได้เพิ่มขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้บริษัทประเมินว่ากำไรสุทธิในปี 66 จะต้องทำได้ดีกว่าปี 65 เนื่องจากจะได้รับผลบวกจากราคาวัตถุดิบในการผลิตลดลงตั้งแต่ไตรมาส 1/65 เป็นต้นไป หลังวัตถุดิบหลายตัว ราคาเริ่มชะลอ และปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามเรื่องราคายางธรรมชาติที่อาจพุ่งขึ้นหากประเทศจีนมีการเปิดประเทศ ดังนั้นต้องสต๊อกวัตถุดิบราคาถูกไว้ และติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงเรื่องราคาพลังงานและค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีการบริหารค่าใช้จ่ายได้ดี และมีการลงทุนโซลาร์รูฟท็อป 1 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งน่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ 400,000 บาทต่อเดือน และจะลงทุนเพิ่มเป็น 2 MW เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าลงไป 800,000 บาทต่อเดือน ตั้งแต่ไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป
ขณะที่ทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/65 บริษัทจะมีรายได้รวมจะออกมาดี และไม่มีเรื่องน่ากังวลใด ๆ เนื่องจากยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีการขยายตัวแทนจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตามในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นจะถูกกดดันจากต้นทุนราคาวัตถุดิบในการผลิตล็อตใหม่มีราคาสูงกว่า 2 ไตรมาสแรกของปี 2565 ทำให้กดดันมายังกำไรสุทธิด้วย
ดังนั้นบริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 65 รายได้รวมจะเข้าเป้าหมาย 900 ล้านบาท เติบโตจากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 852 ล้านบาท โดยจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ในรอบ 3 ปี ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้รวมแล้ว 640 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งซื้อ (Order) ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับปกติ สามารถส่งมอบลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
ส่วนกำไรสุทธิจะพยายามรักษาให้อยู่ในระดับที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 42 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีผลขาดทุนอยู่เพียง 5 ล้านบาทเท่านั้น