PRI ร่วง 5% นักลงทุนขายทำกำไร หลังแรงซื้ออิ่มตัว
PRI ร่วง 5% นักลงทุนขายทำกำไร หลังแรงซื้ออิ่มตัว โดย ณ เวลา 10:38 น. อยู่ที่ระดับ 31.00 บาท ลบ 1.50 บาท หรือ 4.62% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 45.43 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ก.พ.66) ราคาหุ้นบริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI ณ เวลา 10:38 น. อยู่ที่ระดับ 31.00 บาท ลบ 1.50 บาท หรือ 4.62% สูงสุดที่ระดับ 32.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 30.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 45.43 ล้านบาท
โดยราคาหุ้น PRI ปรับตัวลดลงวันนี้ คาดเป็นการขายทำกำไรหลังราคาหุ้นเป็นขาขึ้นมานานกว่า 1 เดือน โดยเทียบตั้งแต่ยืนที่ระดับ 19.20 บาท จนถึงล่าสุดหุ้นปรับตัวขึ้นแล้ว 61% มาอยู่ที่ระดับ 31.00 บาท จนทำให้สัญญาณเทคนิคทุกตัวเข้าเขตซื้อมากเกินไป
อนึ่งก่อนหน้านี้นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRI เปิดเผยว่า ในปี 66 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 1,300 ล้านบาท (ยังไม่รวมรายได้การเข้าซื้อกิจการ) เติบโตจากปี 2564 ที่ประมาณ 173.06% ซึ่งเป้าหมายรายได้ในปี 2566 ถือเป็นการเติบโตสร้างสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) โดยบริษัทมีแผนพิจารณาการขยายธุรกิจใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
โดยจะมุ่งเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภครายย่อยเป็นหลัก เช่น ธุรกิจร้านสะดวกซัก (Wash & Dry) รวมถึงรักษาระดับการเติบโตในกลุ่มธุรกิจทั้ง 8 กลุ่มที่ให้บริการอยู่แล้วในปัจจุบัน โดย ณ สิ้นปี 2566 ตั้งเป้าหมายจะมีโครงการที่เข้าไปบริหารนิติบุคคลและโครงการที่เข้าไปบริหารงานขายรวมกันเพิ่มเป็น 150 โครงการ จากปัจจุบันที่มี 120 โครงการ
ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทมีแผนการเติบโตภายใต้แนวคิด “Super Living Service” ขยายขอบเขตธุรกิจบริการใหม่ ๆ ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในหลากหลายมิติ ได้แก่1.การเพิ่มบริการในเซกเมนต์ใหม่ เช่น การขยายบริการบางกลุ่มธุรกิจจากเซกเมนต์ทั่วไป สู่เซกเมนต์ระดับลักซ์ชัวรี่,2.การเปิดตัวธุรกิจใหม่ มุ่งเน้นธุรกิจที่จะช่วยเติมเต็มความครบวงจรของงานบริการ และธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์โลก3.การบุกตลาดต่างจังหวัด โดยวางแผนส่งบริษัทย่อยบุกให้บริการในพื้นที่ทั้ง 4 ภูมิภาคหลักของประเทศ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคอีสานที่ จ.ขอนแก่น และเขาใหญ่ ภาคกลางตอนล่างและภาคใต้ที่ หัวหิน และ จ.ภูเก็ต และภาคตะวันออก ที่ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง
โดยในช่วงไตรมาส 2/66 บริษัทจะเริ่มนำร่องบุกต่างจังหวัดนอกพื้นที่ EEC เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเริ่มที่จังหวัดภูเก็ต
นางสาวจตุพร กล่าวอีกว่า การสร้างการเติบโตของ PRI จะมีทั้งการเติบโตด้วยตัวเอง (Organic Growth) และการเติบโตทางลัด (Inorganic Growth) ผ่านการจับมือร่วมทุนกับพันธมิตร (Joint Venture) กับผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจนั้น ตลอดจนการพิจารณาซื้อกิจการ (M&A) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้นอยู่แล้ว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
โดยยกทัพบริษัทในเครือ มองหาพันธมิตรที่จะเข้ามาเติมเต็มความครบวงจรภายในปี 2566 โดยภายในช่วงครึ่งปีแรกของในปี 2566 คาดว่าจะสามารถปิดดีล M&A ธุรกิจต้นน้ำ คือ กลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาและออกแบบทางวิศวกรรม (Per-Living Services) เข้ามา 1 บริษัท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งการซื้อกิจการในครั้งนี้จะเข้ามาหนุนการเติบโตของ PRI ต่อเนื่อง และภายในปี 2566 คาดว่าจะเห็นการร่วมทุน (JV) กับพันธมิตรด้วย โดยปัจจุบันมีการเจรจากับพันธมิตรมากกว่า 3 ดีล เพื่อ M&A และ JV ร่วมกัน