PTG บวก 5% รับแผนอัดงบ 2 พันล้าน ลุยปล่อยสินเชื่อผ่านปั๊มพีที
PTG บวก 5% รับแผนอัดงบ 2 พันล้าน ลุยปล่อยสินเชื่อผ่านปั๊มพีที 3 พันแห่ง ดีเดย์ครึ่งหลังปีนี้ โบรกแนะซื้อเป้า 18.50 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 มี.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ล่าสุด ณ เวลา 14:20 น. อยู่ที่ระดับ 14.20 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 5.19% สูงสุดที่ระดับ 14.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 13.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 169.89 ล้านบาท
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมแผนงานเริ่มธุรกิจปล่อยสินเชื่อด้วยการเจรจากับบริษัทไฟแนนซ์นอกตลาดหลักทรัพย์รายหนึ่ง ซึ่งทำธุรกิจสินเชื่ออยู่ในปัจจุบัน เพื่อเข้าร่วมทุนปล่อยสินเชื่อผ่านสาขาปั๊มน้ำมัน PT ทั่วประเทศกว่า 3,000 แห่ง คาดว่าครึ่งปีแรกจะค่อย ๆ เห็นความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเริ่มปล่อยกู้ได้ในครึ่งปีหลัง โดยในปีนี้บริษัทได้จัดเตรียมงบลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่ไว้ราว 1.5-2 พันล้านบาทที่จะนำมาใช้รองรับการปล่อยสินเชื่อได้
“เรามีสมาชิกบัตร PT Max Card แล้วกว่า 19 ล้านราย และตั้งเป้าจะมี 30 ล้านราย ถ้าร้านอาหาร ร้านค้า หรือปั๊มน้ำมันต้องการจะขยายการปรับปรุงสาขา ต้องการกู้เงิน ก็สามารถมากู้เงินจากเสาหลักที่เป็นไฟแนนซ์ของเราได้ น่าจะเริ่มได้ภายในปีนี้ ครึ่งปีแรกจะค่อย ๆ ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ระยะแรกเราอาจจะเริ่มจากสินเชื่อเล็ก ๆ ก่อน แต่ 5 ปีเราจะเติมเต็มให้ครบทุกประเภท เรามีฐานข้อมูลพร้อมจากบัตรสมาชิก” นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวว่า PTG ไม่ใช่ธุรกิจ Oil and Gas แล้ว แต่เรามีธุรกิจ Oil and Gas เป็นเสาหลัก เรามีร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่เป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นเสาหลักที่ 2 เรามีออโต้แบ็ค ที่เป็นธุรกิจบำรุงรักษารถยนต์เป็นเสาหลักที่ 3 เรามี Retail ที่เป็นมากกว่าร้านสะดวกซื้อ แมกซ์ มาร์ท เป็นเสาหลักที่ 4 เรามีแพลตฟอร์มอรินแคร์ และร้านขายยา เน็กซ์ ฟาร์มา กว่า 1.8 หมื่นสาขา เป็นเสาหลักที่ 5 ซึ่งเป็นธุรกิจ Health and Wellness เรายังมีโรงไฟฟ้าขยะเป็น Green Energy เป็นเสาหลักที่ 6 และเรามี MAX Me วอลเล็ตเป็นเสาหลักที่ 7 สุดท้าย มี “พาทัวร์” ที่เป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์และไฟแนนซ์
ทั้งนี้บริษัทยังมุ่งเน้นปรับปรุงด้านบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลยุทธ์ PT Service Master ที่มีพนักงานประจำในสาขาปั๊มน้ำมันใน กทม.เพื่อนำเสนอโซลูชันให้กับลูกค้า และแจ้งโปรโมชั่นของธุรกิจในกลุ่มให้กับลูกค้าได้รับทราบ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนกว่า 200 คนแล้ว สิ้นปีนี้จะขยับให้ถึง 500 คน และวางเป้าหมาย 2 ปีข้างหน้าจะมีจำนวนเพิ่มเป็น 2,500 คนเพื่อให้ครอบคลุม กทม.ปริมณฑล และปีหน้าจะกระจายออกไปต่างจังหวัด PT Service Buddy
“PT Service Master ใช้ระยะเวลาบ่มเพาะมา 5 ปีแล้ว ไม่ได้มาขายบัตรแต่มานำเสนอโซลูชันให้กับลูกค้า ผู้มาใช้บริการหรือลูกค้ารู้ว่าเรามีบริการอะไร โปรโมชั่นอะไร บัตรสีเขียวสิทธิพิเศษอะไร บัตรสีแดงพลัสได้อะไร แต่ละปั๊มใช้อย่างน้อย 6 คนแทนเด็กปั๊มปกติ ซึ่งจะมาจากทั้งพนักงานภายใน เด็กปั๊ม ขอมาเป็น และรับสมัครจากภายนอก เราดูบุคลิกภาพ จิตใจรักบริการ ยิ้มแย้ม เอามาบ่มเพาะ” นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ความสำเร็จของพนักงาน PT Service Master ที่เป็นรูปธรรมสะท้อนจากยอดขายของสาขา ซึ่งในแง่ของยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้นราว 25% ของยอดขายปกติของสาขานั้น ๆ เป็นอย่างน้อย และยอดบัตรสมาชิก MAX Card เพิ่มขึ้นจากปกติเคยทำได้ราว 15-30 ใบ เพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อย สูงกว่าสาขาปั๊มทั่วไปกว่า 4-5 เท่า นอกจากนั้น ในแง่ของการแจ้งข้อร้องเรียนผ่านเบอร์ 1614 ลดลงเกือบเป็นศูนย์
“เราเชื่อว่าการบริการที่ดีเกินกว่าความคาดหวังจะทำให้ลูกค้าประทับใจ จะทำอย่างไรให้ รู้จัก รู้ใจ ใกล้ชิดลูกค้า เราเริ่มมา 4-5 ปี มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ กระบวนการคัดสรรมีการทดสอบผ่านการสัมภาษณ์ เข้ามาฝึกงาน เรามีการฝึกฝนก่อนปล่อยลงสถานีบริการจริง เป็นมากกว่าบริการเติมน้ำมัน เพราะองค์ความรู้ได้รับการอบรมอย่างดี เป็น One Stop Service ให้บริการเติมน้ำมัน พูดคุยเรื่องร้านกาแฟ มาร์ท น้ำมันเครื่อง เพราะโปรโมชั่นเราปรับเปลี่ยนตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญ ถ้าเราอยากทำวิจัยอะไร ทั้งเรื่องน้ำมัน มาร์ท กาแฟ ก็ฝากให้น้อง ๆ คุยกับลูกค้าได้” นายพิทักษ์ กล่าว
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มกำไรสุทธิปี 66 อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน คงสมมติฐานหลักค่าการตลาดอยู่ในระดับ 1.8-1.9 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตามปริมาณจำหน่ายน้ำมันยังคงอยู่ที่ 3% ต่ำกว่าที่บริษัทประเมิน โดยประเมินว่ายอดจำหน่ายน้ำมันฟื้นตัวมามากแล้วในปี 65 เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนและเป็นการฟื้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาทั้งหมด (ไม่มีปิดเมือง)
โดยคาดว่าปี 66 จะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตามเป็นอัพไซด์ หากปริมาณขายน้ำมันโตได้ดีกวาคาด เบื้องต้นรอดูพัฒนาการของสถานการณ์ดังกล่าว โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท