หุ้นโรงพยาบาลวิ่ง! โบรกชู BCH เด่นรับเต็มประกันสังคม อัพอัตราเหมาจ่าย 8-10%
หุ้นโรงพยาบาลวิ่ง! โบรกชู BCH รับเต็มประกันสังคมจ่อปรับเพิ่มเหมาจ่ายรายหัวประกันสังคม 8-10% จากเดิม 1,640 บาทต่อราย คาดมีผล 1 เม.ย.นี้ หลังโชว์ฐานผู้ป่วยประกันสังคมอันดับ 1 ของไทยมากกว่า 1.05 ล้านราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 มี.ค.) ราคาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับตัวขึ้น นำโดยบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ณ เวลา 15: 49 น. อยู่ที่ระดับ 20.00 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.01% ราคาสูงสุด 20.10 บาท ราคาต่ำสุด 19.80 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 62.30 ล้านบาท
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ณ เวลา 15: 42 น. อยู่ที่ระดับ 29.50 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.72% ราคาสูงสุด 29.50 บาท ราคาต่ำสุด 29.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 525.39 ล้านบาท
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(24 มี.ค.66) การลงทุนสัปดาห์นี้ แนะนำหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลแนะนำ BCH ราคาพื้นฐาน 23.8 บาท คาดมีปัจจัยบวกหนุนจากในเดือน เม.ย. คาดการปรับอัตราค่าบริการเหมาจ่าย SSO จะถูกปรับขึ้น 8-10%
โดยก่อนหน้านี้ ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ BCH เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ถึงกรณีที่สำนักงานประกันสังคมอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราเหมาจ่ายรายหัวของประกันสังคมปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 8-10% จากเดิมอยู่ที่ 1,640 บาทต่อหัว และจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2566 ว่าปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการรอรายละเอียดของการเหมาจ่ายรายหัว ซึ่งเป็นการปรับรายหัวจากส่วนที่ต้องจ่ายรายเดือน โดยหากมีการปรับเพิ่มขึ้นจริงจะส่งผลดีต่อรายได้ในส่วนของประกันสังคมของเครือโรงพยาบาล BCH โดยตรง และเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีฐานผู้ป่วยประกันสังคมเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย
โดยปัจจุบันบริษัทมีผู้ป่วยประกันสังคมที่ลงทะเบียนในระบบเครือโรงพยาบาล BCH มากกว่า 1.05 ล้านราย จากโควตาทั้งหมด 1.55 ล้านราย ถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน และมองว่าในปี 2566 ผู้ป่วยประกันสังคมจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น ขยายตัวจากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง มีผู้ป่วยประกันสังคมแตะ 100,000 ราย เป็นต้น นอกจากนี้จะได้ผลบวกจากการปรับราคา 5 กลุ่มโรคยากที่มีค่าใช้จ่ายสูง (AdjRW≥2) หลังมีการปรับค่ารักษาขึ้นไปถึง 25% ถือว่าค่อนข้างสูง จะส่งผลดีต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเครือโรงพยาบาล BCH เป็นการดูแลระดับตติยภูมิ (Tertiary Care)
ขณะที่แผนการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีรายได้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก แตะ 13,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนเกิดโควิด-19 หรือเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้รวม 8,996.28 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2566 จะเป็นปีที่ไม่มีรายได้เกี่ยวข้องกับโควิด-19 แล้ว เพราะรวมอยู่ในโรคปกติ
ทั้งนี้ ในปี 2566 รายได้ที่เติบโตเป็นผลมาจากฐานผู้ป่วยปกติที่ฟื้นตัวมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ทั้งผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ส่วนผู้ป่วยกลุ่มประกันสังคมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน รวมไปถึงผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของผู้ป่วยฝั่งประเทศซาอุดีอาระเบียที่เริ่มเข้ามารักษากับทางโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC) และผู้ป่วยชาติอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีแผนร่วมมือกับเอเจนซี่ และสถานทูตอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย ส่วนโรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะมีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนจากผลกระทบเงินเฟ้อในลาวที่เพิ่มขึ้น แต่มองความเสี่ยงยังต่ำ เพราะมีการจ่ายเงินตามอัตราแลกเปลี่ยนตามวันนั้น ๆ
ส่วนที่บริษัทมีการเปิดตัวศูนย์ศัลยกรรมความงาม “Kasemrad Plastic Surgery By Bujeong” ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์ บริษัทตั้งเป้าหมายจะสร้างรายได้ 10 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการ 9 วัน สามารถทำรายได้มากกว่า 4 ล้านบาท ถือว่าได้การตอบรับที่ดีมาก โดยคาดว่าในปี 2566 จะสร้างรายได้ 100 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2567 และมีแผนเปิดสาขา 2 ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ รวมไปถึงสาขาอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
สำหรับการขยายธุรกิจในปี 2566 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนขยายโรงพยาบาลใหม่ประมาณ 10% งบลงทุนซ่อมบำรุงประมาณ 30% และงบลงทุนปรับปรุงโรงพยาบาลเดิมประมาณ 60% โดยบริษัทพร้อมที่จะเริ่มลงทุน 2 โครงการใหม่ ได้แก่ ศูนย์มะเร็งเกษมราษฎร์ อารีย์ รังษีรักษา นนทบุรี (ศูนย์ส่งต่อรังสีรักษาจากโรงพยาบาลหลักไม่มีเตียง) ใช้งบลงทุน 300 ล้านบาท คาดเปิดใช้งานในปี 2567 และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุวรรณภูมิ ขนาดบริการ 268 เตียง ใช้งบลงทุน 1,650 ล้านบาท คาดเปิดให้บริการได้ในปี 2570
ทั้งนี้ กลยุทธ์ในระยะสั้นและระยะยาวของเครือโรงพยาบาล BCH แบ่งออกเป็น 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การขยายโรงพยาบาลแห่งใหม่เพิ่มเติม ซึ่งมีแผนขยายโรงพยาบาลใหม่ 5 แห่ง ภายในระยะ 5 ปี (ปี 2566-2570) จะทำให้มีจำนวนเตียงที่ได้รับอนุญาตบริการรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3,100 เตียง ภายใต้ 20 โรงพยาบาล จากปัจจุบันมีจำนวนเตียงที่ได้รับอนุญาตบริการรวม 2,254 เตียง ภายใต้ 15 โรงพยาบาล
โดยการขยายโรงพยาบาลแห่งใหม่ ส่วนใหญ่จะเน้นเข้าไปยังพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการ และขยายความครอบคลุมฐานผู้ป่วย เช่น การขยายโรงพยาบาลที่พัทยากลาง เนื่องจากมีที่ดินเดิมอยู่แล้วบนพื้นที่ 16 ไร่ เป็นที่ดินที่เคยขออนุญาตสร้างโรงพยาบาล และได้ขอแบบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว แต่ได้ชะงักไป เพราะบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ ซึ่งจะนำมาปัดฝุ่นโครงการใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมทีม คาดว่าจะสร้างโรงพยาบาลขนาดไม่ต่ำ 150 เตียง
ขณะที่ มีแผนการขยายโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดระยอง โดยบริษัทจะเป็น 1 ใน 2 ของเครือโรงพยาบาลเอกชนที่จะเข้าไปประมูลในโครงการยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง 2 บนพื้นที่ 29 ไร่ ประมาณเดือน พ.ค. 2566 ถือเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและภาคเอกชน (PPP) ด้านสาธารณสุขในโซน EEC หากสามารถชนะประมูล บริษัทคาดว่าจะก่อสร้างโรงพยาบาลขนาด 200 เตียง แต่หากไม่ชนะประมูล บริษัทมีแผนเดิมที่ศึกษาเข้าไปสร้างโรงพยาบาลเงินสดเพิ่มเติมในพื้นที่ดังกล่าวในอนาคตอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีฐานประกันสังคมที่ใหญ่มาก
- การเพิ่มประสิทธิภาพในโรงพยาบาลแห่งเดิม และเปิดศูนย์เฉพาะทางมากขึ้น
- การเข้าทำสัญญากับหน่วยงานต่าง ๆ และ
- ขับเคลื่อนธุรกิจตามนโยบายและกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG)
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” เก็งกำไรหุ้น BCH กำหนดมูลค่าพื้นฐานหุ้นปี 2566 อยู่ที่ 22.80 บาท มีอัพไซด์ (upside) 15.5% โดยจะได้รับเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 อีกหุ้นละ 0.40 บาท ซึ่งจะกำหนดรายชื่อผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 9 พ.ค. 2566 และจ่ายปันผลวันที่ 19 พ.ค. 2566 นอกจากนี้ยังรอลุ้นข่าวดีอัตราค่าเหมาจ่ายรายหัวประกันสังคมมีโอกาสปรับขึ้นสูง
โดยเดือน มี.ค. 2566 คณะกรรมการของสำนักงานประกันสังคมกำลังพิจารณาการทบทวนการปรับขึ้นอัตราเหมาจ่ายรายหัวของโครงการประกันสังคมจากเดิมอยู่ที่ 1,640 บาทต่อหัว หลังจากไม่ได้มีการปรับขึ้นเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือน มี.ค. 2566 และคาดจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2566 เป็นต้นไป จากการประเมินเบื้องต้นจะปรับขึ้นราว 8-10% และปัจจุบัน BCH มีผู้ประกันตนราว 1 ล้านราย จากโควตาที่ได้รับทั้งหมด 1.5 ล้านราย หากมีการปรับขึ้นจริงจะส่งผลให้ BCH มีรายได้เพิ่มหัวละ 98 บาท หรือเพิ่มรายได้ราว 100 ล้านบาท ในปี 2566 และช่วยให้มีกำไรเพิ่มเติมในปี 2566 ราว 80 ล้านบาท
นอกจากนี้ โรงพยาบาลใหม่ที่เปิดใหม่ 3 แห่ง คือ เกษมราษฎร์อินเตอร์ฯ อรัญประเทศ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี ที่เริ่มมีกำไรบ้างแล้ว และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ที่มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อาจเผชิญผลขาดทุน หลังรายได้ที่เกี่ยวกับโควิด-19 หายไป และรายได้ผู้ป่วยปกติเติบโตต่ำกว่าคาด อีกทั้งโรงพยาบาลที่เวียงจันทน์ยังมีความเสี่ยงด้านขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากผลกระทบเงินเฟ้อในลาวที่เพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ตามประเมินว่าผลการดำเนินงานของ BCH ในปี 2566 จะมีกำไรสุทธิ 1,719 ล้านบาท ลดลงจากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 3,039 ล้านบาท และมีรายได้จากการให้บริการ 12,272 ล้านบาท ลดลงจากปี 2565 ที่มีรายได้จากการให้บริการ 18,827 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BCH ให้ราคาเป้าหมาย 23.60 บาทต่อหุ้น เนื่องจากรายได้กลุ่ม Non-COVID คาดว่าจะกลับมาสู่สภาวะปกติ และคนไข้ต่างชาติเริ่มกลับมารับบริการเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่าย และการเพิ่มศูนย์การแพทย์ ส่งผลให้รายได้และกำไรจะมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ BCH มีอัพไซด์จากคาดสำนักงานประกันสังคมมีการปรับอัตราการเบิกจ่ายแบบ Fixed Capitation ขึ้น 8-10% จาก 1,640 บาทต่อราย ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้กลุ่มประกันสังคม ขณะที่การรักษากลับสู่ปกติ โดยจะนับ COVID-19 เป็นการรักษาทั่วไป และการเพิ่มขึ้นของคนไข้ต่างชาติที่สามารถปรับเพิ่มจากกลุ่มตลาดใหม่ รวมถึงการยกระดับการรักษาโรคซับซ้อนที่หนุนรายได้ต่อบิลให้สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม คาดรายได้และกำไรปี 2566 ปรับตัวลดลงตามสัดส่วนรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 และคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 ใกล้เคียงไตรมาส 4/2565 แต่อ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันของปี 2565 จากฐานที่สูงตามสัดส่วนรายได้จาก COVID-19 โดยประเมินงบปี 2566 จะมีกำไรสุทธิ 2,021 ล้านบาท จากปี 2565 มีกำไรสุทธิ 3,039 ล้านบาท และคาดจะมีรายได้จากการให้บริการ 14,061 ล้านบาท จากปี 2565 ที่มีรายได้จากการให้บริการ 18,895 ล้านบาท