FETCO เปิดเวทีให้ 9 พรรคการเมือง แสดงวิสัยทัศน์เศรษฐกิจ พัฒนาตลาดทุน
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเวทีให้ 9 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจก่อนมีการเลือกตั้ง มองอนาคตการส่งเสริมเกี่ยวกับการการสนับสนุนตลาดทุน และแนวคิดการเก็บภาษีหุ้นหากได้เป็นรัฐบาล
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ทาบทามทีมเศรษฐกิจ 9 พรรคการเมือง ร่วมประชันนโยบายขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ภายใต้รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรครวมไทยสร้างชาติ
โดย นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึง แนวนโยบายเศรษฐกิจของพรรคว่า จะเน้นส่งเสริมกลไกลตลาดที่นำไปสู่การแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรม นำสู่นโยบายที่เสนอรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจหลายๆเรื่อง ทั้งโครงสร้างอุตสาหกรรมพลังงาน เพื่อให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายพลังงานลดลง โดยเปิดให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า ซึ่งเทคโนโลยีเปิดให้ประชาชนเป็นผู้ผลิตได้ด้วย ขณะเดียวกันพรรคนำเสนอ รื้อโครงสร้างการประเมินความเสี่ยงของประชาชนในฐานะผู้กู้ ด้วยการยกเลิกแบล็คลิสต์ กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในสถาบันการเงิน
ส่วนทางด้าน นโยบายตลาดทุนจะดำเนินการโดยเร็ว คือ สิ่งที่ต้องทำให้ดีขึ้น ประเภทหลากหลายสินค้า เปิดโอกาสให้ธุรกิจใหม่ๆเข้ามาในตลาดทุน ขณะที่สัดส่วนนักลงทุน กองทุนในประเทศ ปัจจุบันมีสัดส่วน 7-8 % ต่อมูลค่าซื้อขายในแต่ละวัน ถือว่าน้อยเกินไป ซึ่งเรื่องกองทุนมีการเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการลงทุนระยะยาว จาก LTF มาเป็น SSF จึงต้องปรับเงื่อนไขระยะเวลาการลงทุน SSF ให้สั้นลง และทบทวนมาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมให้มีการสร้างกลุ่มนักลงทุนที่เป็นสถาบันการเงินในประเทศ มาเป็นผู้คอยซื้อหุ้นเวลาต่างชาติขาย
นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า พรรคจะเพิ่มโอกาสให้คนฐานราก เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน เช่น แหล่งเงินทุนเกษตรกรต้องเปลี่ยนจากกองทุนหมู่บ้านเป็นวิสาหกิจหมู่บ้าน และโอกาสสร้างรายได้เสริม ด้วยนโยบายคาร์บอนเครดิต ส่วนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แทนที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเดียว
ในขณะที่ นโยบายตลาดทุนก็จะต้องสังคายนากฏหมาย เอากฏหมายมาจัดหมวดหมู่แยกประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ และเรื่องกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ที่ผ่านมารัฐบาลเวลามองไปที่ตลาดทุน มองด้วยความไม่เข้าใจ จึงอยากให้ผู้บริหารเข้าใจกลไกตลาดทุน เพื่อออกนโยบายได้ถูกต้อง และอยากเห็นคนที่เข้าในตลาดหลักทรัพย์เป็นธุรกิจใหม่ๆมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยืนยันว่า หากพรรคชาติไทยพัฒนาได้เป็นรัฐบาลจะไม่เก็บภาษีหุ้น
ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า พรรคมีแนวคิดหารายได้ 4 ล้านล้านบาท ใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยเน้นอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมา มีรถEV 35,000 คัน เป็นเบอร์ 2 ในเอเชียรองจากจีน ซึ่งเราจะรักษาฐานอุตสาหกรรมเดิมและเปลี่ยนเป็นฐาน EV เน้นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
ขณะที่นโยบายทางด้านตลาดทุนที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือ อยากเห็นกลไกตลาดหลักทรัพย์ช่วยให้นักลงทุนสามารถมีโปรดักส์ใหม่ๆ เช่น กองทุนใหม่ที่ช่วย SME หรือ กองทุนที่จะช่วยธุรกิจ BCG เพื่อเป็นทางเลือกผู้ออมเงินในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มเติม ขณะเดียวกันทำให้ตลาดหลักทรัพย์มีความสมัยใหม่ขึ้น มีสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ถ้าเกิดขึ้นได้ จะสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งรัฐบาลทำแล้วในเรื่องแอปฯ เป๋าตังและสามารถต่อยอดได้เลย ซึ่ง สินทรัพย์ดิจิทัล จะช่วยการลงทุนในตัวหุ้นใช้ดิจิทัลบาท สามารถตรวจสอบได้ในอนาคต เพื่อความโปร่งใสมากขึ้น ส่วนเรื่องแนวคิดภาษีซื้อขายหุ้นนั้นหากพรรครวมไทยสร้างชาติได้เป็นรัฐบาล จะเก็บภาษีกำไรขายหุ้น (Capital Gain Tax) แต่ไม่เก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้น (Transaction Tax)
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงนโบายของพรรคว่า จะเสนอการลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการสร้างพลังคนตัวเล็กให้เกิดความเข้มแข็ง ด้วยการแก้ไขกฏหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ 1,400 ฉบับ ลดการบังคับชั่วคราว โดยออกพ.ร.ก.เพียง 1 ฉบับ ต้องแก้หนี้ครัวเรือน เพราะมีประชาชนกว่า 3-4 ล้านคนที่เป็นหนี้เครดิตบูโรในช่วงโควิด-19 พรรคมีนโยบายให้ทุกคนหลุดจากเครดิตบูโรและทำธุรกิจต่อได้ ส่วนเรื่องรายได้ ต้องสร้างรายได้ ไม่ใช่นโยบายลดแลกแจกแถม ทำให้SME แข็งแรงให้ได้ ทำให้ทุกคนต้องเข้าระบบภาษี ต้องมีกองทุนช่วยเรื่องอินโนเวชั่นแก่ SME นอกจากนี้ พรรคมีนโยบายสร้างความสุข ด้วยการตั้งใจปราบคอร์รัปชั่นในภาคธุรกิจ และเพิ่มโอกาสเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี ลดเวลาเรียน 3 ปี เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าตลาดแรงงานได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี
ส่วนนโยบายตลาดทุน ที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือต้องดึงผู้ประกอบการรายเล็กๆเข้าสู่ตลาดทุนให้มากที่สุด การให้ความรู้กับผู้ประกอบดึงบริษัทเหล่านี้มาจัดเป็นกลุ่มก้อนที่สามารถผลักดันให้เติบโตได้ เพราะหลายผู้ประกอบ เมื่อเข้ามาตลาดหลักทรัพย์เจอนักปั่นหุ้น เจอนักลงทุนเทาๆเข้มมาสวมรอย ทำให้ตลาดหลักทรัพย์เสียหาย จึงต้องมีการให้ข้อมูลข่าวสารชัดเจน อย่าให้ความร่วมมือกับบริษัทสีเทาเหล่านี้ นอกขากนี้ ผลิตภัณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ต้องตามให้ทัน สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาดสุขภาพและเรื่อง BCG รวมถึงตลาดคริปโตต้องตามให้ทัน พร้อมกับยืนยันว่า หากพรรคไทยสร้างไทยได้เป็นรัฐบาลจะไม่เก็บภาษีหุ้นแน่นอน
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกรุงเทพฯ พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่จะสร้างอนาคตให้เศรษฐกิจไทยในอีก 4 ปีข้างหน้าว่า ปัญหาหลักทุกอุตสาหกรรม คือ เรื่องหนี้สิน หากไม่แก้ไขจะเดินหน้าเศรษฐกิจไม่ได้ดังนั้นต้องปลดล็อคและผ่อนปรนภาระหนี้ แบ่งเบาภาระหนี้สินให้ได้ก่อน พรรคภูมิใจไทย จึงนำเสนอพักหนี้ ทั้งต้นและดอกเป็นเวลา 3 ปี เพื่อให้เวลาภาคธุรกิจได้ใช้เวลาปรับปรุงบริษัท และสามารถกลับมาชำระหนี้สินต่อไป ซึ่งเศรษฐกิจมหภาคก็จะเดินต่อไปได้
ส่วนเรื่องนโยบายตลาดทุน คือเรื่องความเชื่อมั่นนักลงทุน ซึ่งมิติการผลักดันให้เกิดการลงทุน คือ ความเชื่อมั่นของประเทศ แต่มีหลายๆเรื่องๆติดข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดทุน ซึ่งอยู่ที่ระเบียบข้อบังคับที่เกิดขึ้น นักลงทุน ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถแต่ติดขัดเรื่องกฏระเบียบ ทำให้สถานการณ์วันนี้ต้องพิจารณาปรับปรุงระเบียบอย่างไร ทั้งนี้หากพรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลจะไม่เก็บภาษีหุ้นแน่นอน
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ที่สุดสำหรับรัฐบาลหน้า คือ การกระต้นให้ประชาชนปรับตัวหาจุดแข็งของตนเอง คือ ทำให้ประชาชนเข้มแข็งขึ้น โดยการลดรายจ่ายพลังงาน เวลานี้หลายพรรคมีนโยบายจะสนับสนุน ลดราคาน้ำมัน ราคาก๊าซหุงต้ม ลดค่าไฟฟ้า แต่แนวคิดของทีมเศรษฐกิจของพรรคจะปฎิรูปโครงสร้างธุรกิจพลังงานครั้งใหญ่ ทำแบบครบวงจร คืนกำไรให้ประชาชน ให้สมดุลมากขึ้น นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทีมเศรษฐกิจพรรคมองถึงเรื่องการพัฒนามาตรฐาน ในด้านความปลอดภัยและด้านความน่าเชื่อถือ ไทยเป็นศูนย์อาเซียน ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
ทางด้านนโยบายตลาดทุนที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือทำอย่างไรให้ตลาดทุนทำงานร่วมกับรัฐบาลหน้าแก้ปัญหาโจทย์ใหญ่ๆของประเทศได้ อาทิ วิธีการแก้ปัญหาลูกหนี้ เพราะความสามารถชำระหนี้หายไปกับโควิด-19 กรณีพักหนี้ไม่ได้ให้โอกาสลูกหนี้ตั้งต้นใหม่อย่างแท้จริง วิธีการที่เหมาะสม คือ เจ้าหนีต้อง Hair Cut เอากำไรสะสมจากเจ้าหนี้ คืนให้กับลูกหนี้ ซึ่งเรื่องนี้ตลาดทุนอำนวยความสะดวกได้หรือไม่ ทั้งนี้หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลเรื่องนี้พรรคยังไม่มีนโยบาย แต่ความเห็นส่วนตัวต้องเก็บจากภาษีขายหุ้น (Transaction Tax)
นายวรภพ วิริยะโรจน์ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า นโยบายเศรษฐกิจมหภาค มี 3 วิธีด้วยกัน คือ เศรษฐกิจที่รองรับทุกคน เศรษฐกิจที่เท่าเทียมเป็นธรรม และเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดด โดยนโยบายตลาดทุนที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือ เพิ่มการลงทุน SME ขนาดกลาง ด้วยนโยบายหวยใบเสร็จ ทำให้มีแต้มต่อสู้กับรายใหญ่ได้ โดยหากใน 4 ปีสามารถสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ 1 ล้านราย และน่าจะมีประมาณ 10% หรือ 1 แสนรายที่จะเติบโตเข้ามาลงทุนในตลาดทุนได้ รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนนักลงทุนในประเทศ คือ เรื่อง Data Economy สามารถแนะนำให้เห็นความสำคัญในการลงทุนได้ และเพิ่มให้นักลงทุนรู้จักการออมมากขึ้น ส่วนเรื่องแนวคิดเก็บภาษีซื้อขายหุ้นหากได้เป็นรัฐบาล จะเก็บภาษีกำไรขายหุ้น (Capital Gain Tax) แต่ไม่เก็บภาษีขายหุ้น(Transaction Tax)
นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาค ต้องไม่สร้างหนี้สาธารณะ ไม่เป็นภาระต่องบประมาณมากเกินไป และให้แต้มต่อรายเล็กรายใหญ่ โดยใส่เงินในระดับรากหญ้า ใส่เงินในรูปแบบธนาคารหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 2 ล้านบาท วงเงินรวมไม่เกิน 2 แสนล้านบาท และเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและ กบข. มีเงินไม่ต่ำกว่า 2.6 ล้านล้านบาท มีผู้เกี่ยวข้อง 4 ล้านกว่าคน โดยพรรคจะปลดล็อก ให้ข้าราชการ 1.2 ล้านคน และเจ้าของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3 ล้านคน เอาเงินก้อนหนี้ไปซื้อบ้าน ไปวางดาวน์บ้าน ไปลดหนี้บ้าน ซึ่งเงินก้อนนี้มี 3 แสนล้านไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ส่วนเรื่องนโยบายตลาดทุนจะดำเนินการโดยเร็ว คือ เรื่องภาษี ภาครัฐและกระทรวงการคลัง หากจะมีการกำหนดภาษีใดๆต้องมีวิธีคิดให้ชัดเจนกว่านี้ และ เรื่องเทคโนโลยี กฏหมายบริษัทมหาชน สามารถเปิดประชุมออนไลน์ได้ซึ่งปีนี้ปีแรก บริษัทมหาชนประชุมได้กับผู้ถือหุ้น สิ่งที่อยากทำต่อ คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อให้ตลาดทุนมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่และเรื่องการดูแลผู้ถือหุ้นรายย่อย การเอาผิดอินไซเดอร์ กฎหมายต้องแก้ไขให้กระชับขึ้น ส่วนแนวคิดเก็บภาษีซื้อขายหุ้นหากได้เป็นรัฐบาล จะดูแลเรื่องการเก็บภาษีหุ้นเป็นอย่างดี ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และแนวโน้มคงไม่อยากจะเก็บภาษี
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเสนอการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ซึ่งพรรคประกาศนโยบายดิจิทัลวอลเลตเป็นของตัวเอง ด้วยระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ ด้วยการให้ประชาชนอายุ 16 ปีทุกคน มีเงินดิจิทัลเป็นของตัวเอง และใช้ให้เงินให้ใน 6 เดือน ภายในรัศมี 4 กิโลเมตร ถือเป็นยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว คือ กระตุ้นให้คน 16 ปี ทุกคนเริ่มใช้ดิจิทัลวอลเลต และถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ กระตุ้นพร้อมกันทั่วประเทศและเกิดในทุกๆหมู่บ้าน
ทางด้านนโยบายตลาดทุนจะดำเนินการโดยเร็ว คือ การสร้างจุดเด่น ประเทศไทยมีจุดเด่นภาคบริการและท่องเที่ยว ซึ่งมีสัดส่วนจีดีพีที่สูง แต่มีสัดส่วนที่ต่ำมาร์เกตแคปในตลาดหลักทรัพย์ สะท้อนให้เห็นว่า ยังไม่ใช่ ขณะที่แนวคิดเก็บภาษีซื้อขายหุ้นหากได้เป็นรัฐบาล จะเรียกคุยสองฝ่ายระดมความคิดเห็น แล้วตัดสินอีกที แต่จะไม่เก็บภาษีกำไรขายหุ้น (Capital Gains Tax) และภาษีคริปโท