GULF เด้ง 2% รับปิดดีล “ลม-โซลาร์” ลุยซื้อกิจการสหรัฐ-ยุโรปต่อ โบรกชี้เป้า 55 บ.
GULF ราคาเด้ง 2% รับข่าวประกาศเดินหน้าบุกยุโรป-อเมริกา จ่อปิดดีลใหญ่ซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานลม-แสงอาทิตย์ภายในปีนี้ ดันสัดส่วนรายได้ต่างประเทศทะลุ 40% และมีลุ้นคว้าโรงไฟฟ้าพลังน้ำในสปป.ลาวอีก 600 MW ในครึ่งปีแรก โบรกฯ แนะนำซื้อ GULF เป้าหมาย 55 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 เม.ย. 66) ราคาหุ้น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ล่าสุด ณ เวลา 14:46 น. อยู่ที่ระดับ 53.75 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 1.90% สูงสุดที่ระดับ 54.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 52.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 976.44 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้น GULF ดีดตัวขึ้นรับข่าวดีหลังจาก นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในต่างประเทศจำนวนหลายโครงการ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) โดยจะโฟกัสไปที่การขยายลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมนอกชายฝั่ง หลังจากเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Gulf International Holding Pte. Ltd. (GIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพิ่งเข้าซื้อหุ้นทางอ้อมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Outer Dowsing Offshore Wind Project ที่อังกฤษ ขนาดกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ สัดส่วน 24.99% บริษัทมองโอกาสการขยายการลงทุนโครงการอื่น ๆ เพิ่มเติม
โดยในปีนี้ GULF ยังมองโอกาสปิดดีล M&A ในต่างประเทศเพิ่มเติมว่าจะมีที่ใดบ้าง อาทิ สหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งอาจไม่ใช่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ เพราะ Gulf Energy USA เพิ่งเข้าซื้อหุ้นโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson ขนาดกำลังการผลิต 1,200 เมกะวัตต์ สัดส่วน 49% แต่จะเน้นไปที่พลังงานหมุนเวียน ทั้งโซลาร์ และพลังงานลม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่มีแผนลงทุนเพิ่ม และน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ ส่งผลให้โครงสร้างรายได้หลักของบริษัทมาจากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 30-40% ของรายได้รวม
ส่วนความคืบหน้าแผนนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หลังจากบริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี จำกัด (Gulf LNG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้เป็นผู้จัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในปริมาณรวมทั้งสิ้น 6.37 ล้านตันต่อปี คาดว่าบริษัทน่าจะสามารถนำเข้า LNG ได้ภายในต้นปี 2567 เนื่องจากราคา Spot LNG ปรับลดลง ส่วนจะนำเข้าล็อตแรกปริมาณเท่าไหร่นั้น อยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง
ทั้งนี้ ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทไม่ได้มาจากโครงการในประเทศเท่านั้น แต่จะมาจากการลงทุนโครงการในต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งการกระจายพอร์ตลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ไฟฟ้า (Non-Power) เพิ่มขึ้น ทั้งการเข้าลงทุนบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH รวมทั้งการเข้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ด้วย
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้าลงทุน หรือซื้อกิจการโครงการพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศจำนวนหลายโครงการ ปัจจุบันได้ศึกษาทั้งฝั่งยุโรปและอังกฤษ โดยจะร่วมกับพันธมิตรต่างประเทศที่มีความชำนาญ
สำหรับความร่วมมือกับ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ในการลงทุนและพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนที่มีแผนที่จะร่วมกันขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศในอนาคต เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการโซลาร์รูฟท็อป ผ่าน Gulf Gunkul Corporation ปัจจุบันยังป็นไปตามกรอบเดิม เป้าหมาย 1,000 เมกะวัตต์ ภายในระยะเวลา 5 ปี
ขณะที่ ผลประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 รวมปริมาณรับซื้อไฟฟ้าราว 5,203 เมกะวัตต์ โดยกกพ.ได้ประกาศผลผู้ชนะแล้วเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมานั้น มีโครงการของ GULF หลายโครงการ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โครงการที่จะ COD ในปี 2567-2568 ภายในเดือนมิถุนายน 2566
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มอง slightly positive ต่อ GULF จากแนวโน้มความคืบหน้าการเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยภาพรวมปี 2566 กัลฟ์เติบโตต่อเนื่องตามการทยอย COD โครงการใหม่ และการควบรวมกิจการ หรือ M&A รวมถึงภาพระยะยาวทยอย COD ส่วนใหญ่เป็นไปตามแผน และยังได้กำลังการผลิตใหม่มาเพิ่มเติม ซึ่งปัจจัยบวกทั้งหมดรวมกัน มองว่ามีเหนือปัจจัยลบจากโครงการ LNG to power ในเวียดนามที่ล่าช้า แนะนำ “ซื้อ” GULF ที่ราคาเป้าหมาย 55 บาท สามารถซื้อเก็งกำไร เพื่อรอรับ upside ของโอกาส M&A เพิ่มขึ้นในอนาคตได้
สำหรับแนวโน้มกำลังการผลิตของ GULF ที่เพิ่มต่อเนื่องในปี 2566-2570 กว่าเท่าตัว โดย upside จากโครงการ บริษัท กัลฟ์1 จำกัด (GULF1) ที่เพิ่มขึ้นราว 50 เมกะวัตต์ หรือ MW คาดสร้าง upside ต่อราคาเป้าหมาย 0.05 บาท/หุ้น
ขณะที่เป้าการเพิ่มโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2573 ที่ 10,000 MW (เดิมให้เป้าที่ 7,000 MW) ยังสะท้อนทิศทางการมุ่งหาโครงการต่อเนื่อง ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ยังไม่ได้รวมไว้ในราคาเป้าหมาย มีอีกประมาณ 550-600 MW หรือประมาณ 2.0-2.5 บาท/หุ้น คาดคืบหน้าภายในปีนี้ และเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีนี้ที่ 50% ทั้งนี้ในด้านของปัจจัยลบโครงการ LNG to Power ในเวียดนามที่มีแนวโน้มล่าช้า 1-2 ปี ประเมินกระทบราคาเป้าหมาย 0.8 บาท/หุ้น หรือราว 1.5%
ทั้งนี้ คาดกำไรปกติปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องที่ 17,224 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้ค่าความพร้อมจ่าย หรือ AP โรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา หรือ GSRC unit 3-4 เต็มปี และค่า AP เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าไอพีพี “กัลฟ์ ปลวกแดง” หรือ GPD unit 1-2, ส่วนแบ่งกำไรฯ จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson สหรัฐฯ ที่เข้ามาหนุน รวมทั้งอัตรากำไรโรงไฟฟ้า SPP ที่เพิ่มขึ้นจากภาครัฐปรับเพิ่มค่าไฟฟ้า (ft) และต้นทุนก๊าซฯ ลดลง
โดยมี upside 2.0-2.5 บาท/หุ้น จากโอกาสเข้าร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่หลวงพระบาง สปป.ลาว ของบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP และโรงไฟฟ้าเซกองของ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH รวม 550-600 MW ที่อาจทราบความคืบหน้าครึ่งปีแรกปีนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากัน
ทั้งนี้ คงมุมมองภาพระยะยาว GULF แข็งแกร่ง กำไรมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ตามกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาต่อเนื่องในปี 2566-2570 ส่ง Equity MW ใน 5 ปีข้างหน้า เพิ่มสะสม 46% ทั้งนี้คาดกำไรปกติปี 2566-2567 เติบโตเฉลี่ย 37% (อัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี) หรือ CAGR