ปชป. พร้อมดัน SME แสนราย ระดมทุนตลาดหุ้น

ประชาธิปัตย์ ชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ ปรับโครงสร้างตลาดเงินตลาดทุน เปิดทาง SME ศักยภาพกว่าแสนรายระดมทุนเข้าตลาดหุ้นง่ายขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 เม.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต รมช.กระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์  ม.ร.ว. ศศิพฤนท์ จันทรทัต อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และประธานคณะกรรมการต่างประเทศ พรรคประชาธิปัตย์   ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ผู้เชี่ยวชาญด้านคมนาคมขนส่งโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการขนาดใหญ่

โดยทีมยุทธศาสตร์ของทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์น ได้มีนโยบายในการสร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ ผ่านกลไกการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ราคาพลังงานสูงขึ้น ปัญหาความยากจน ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ ผลกระทบจาก Covid-19 ไปจนถึงผลกระทบจากปัญหาภายนอกประเทศ เช่น วิกฤตธนาคารพาณิชย์ในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของ GDP ไม่น้อยกว่า 5% โดยไม่เพิ่มหนี้สาธารณะผ่านกลไกและและมาตรการต่างๆ อาทิ

การปรับโครงสร้างตลาดเงินตลาดทุน พรรคประชาธิปัตย์จะสนับสนุนให้การระดมทุนผ่าน IPO ง่ายขึ้น จะไม่จำกัดขนาด ฐานะการเงิน หรือผลประกอบการ โดยให้เน้นเพียงการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ (full disclosure) ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เพียงแค่หลักพัน แต่มีบริษัทอีกกว่าหลักแสนที่ต้องการเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แต่ไม่สามารถทำได้ จัดให้มีตลาดหลักทรัพย์หลากหลายรูปแบบสำหรับสินค้าทางการเงินหลายประเภท รวมไปถึงสนับสนุน crowdfunding ให้กระจายลงไปถึง SME กลุ่ม start up และกลุ่มฐานรากที่ได้ปรับเป็นนักธุรกิจแล้ว เพื่อเชื่อมผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์จะต้องสร้างกติกาให้บริษัทเหล่านี้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ตลาด mai ได้โดยง่าย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นรัฐบาลก็สามารถจัดเก็บภาษีจากบริษัทเหล่านี้ซึ่งเดิมอาจจะเลี่ยงหรือไม่ได้เสียภาษี และแม้รัฐบาลจะไม่ใช่เจ้าของเงินแต่จะบริหารภาษีเหล่านี้ไปเพิ่มสวัสดิการให้กับกลุ่มฐานราก เช่น เกษตรกร ผู้ประกอบการ SME ค้าขาย อาชีพอิสระ และรับจ้างทั่วไป จะเป็นการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางอาชีพและกิจการของคนทุกกลุ่มในสังคมได้อย่างแท้จริง

ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์จะเร่งรัดให้สถาบันการเงินเข้าสู่ digitize banking system โดยเร็ว อันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ลดค่าใช้จ่าย มีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม สามารถลดส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ลงได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระของลูกหนี้และก่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ฝากเงินจะมีการสนับสนุนจัดตั้ง Post Office and Microfinance Bank เพื่อนำเงินทุนหมุนเวียนเข้าสู่กลุ่มฐานรากและ SME ทั่วประเทศ จะพัฒนาประเทศให้เป็น Financial Center โดยสร้างศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาคให้สามารถรองรับการระดมเงินทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินทุนจากกลุ่มจีน ซาอุดิอาระเบีย และตะวันออกกลาง ซึ่งจะต้องออกกฎหมายพิเศษรองรับ

ในส่วนโครงการธนาคารหมู่บ้านและชุมชน ที่จะกระจายลงไปใน 8 หมื่นหมู่บ้าน/ชุมชน ๆ ละ 2 ล้านบาท นำไปปล่อยกู้ในกับคนในชุมชนเพื่อนำไปทำทุนค้าขาย โดยไม่ต้องมีหลักประกันนั้น จะเป็นการปฏิรูประบบสถาบันการเงินในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้แคบลง คนที่นำเงินไปฝากจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าธนาคารพาณิชย์ ส่วนคนที่กู้เงินก็สามารถกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น Application ซึ่งการทำงานจะไม่เหมือนกับธนาคารพาณิชย์ เป็น Database ของแต่ละชุมชน สร้างเครือข่ายที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งจะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่จะทำให้ฐานการเงิน การคลังเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่

Back to top button