K ปลื้ม! ขายหุ้น IPO หมดเกลี้ยง มั่นใจอนาคตสดใส-พื้นฐานแกร่ง
K ปลื้ม! ขายหุ้น IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น ในราคา 5.80 บาท/หุ้น หมดเกลี้ยง เนื่องจากมั่นใจอนาคตสดใส-พื้นฐานแกร่ง
นายสันทัด สงวนดีกุล รองกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. จำกัด (มหาชน) หรือ K เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ว่า จากการที่บริษัทเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในราคา 5.80 บาท/หุ้น จากค่า P/E 19.4 เท่า ถือว่าต่ำกว่า P/E ของธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาด mai ที่อยู่ในระดับ 27 เท่า
โดยมีจำนวนหุ้นที่เสนอขายไม่เกิน 60 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ระหว่างวันที่ 2-4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุน เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจปัจจัยพื้นฐานแกร่ง อนาคตสดใส อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่าในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก (18 ธ.ค.) จะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน
สำหรับผลประกอบการในปี 58 นั้น บริษัทคาดว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมมีการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี อาทิ ธุรกิจงานตกแต่งภายใน ซึ่งมีสัดส่วนรายได้กว่าร้อยละ 50 ของรายได้รวมทั้งหมดที่คาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวของพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2 ล้านตารางเมตรในปี 58-59 จากไตรมาส 1/58 ที่มีพื้นที่ค้าปลีกรวม 7.1 ล้านตารางเมตร และธุรกิจงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ ที่มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 40 ของรายได้รวมทั้งหมด ก็มีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองมีความมั่นคง นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกลุ่ม MICE: (Meeting,Incentives,Conferences,and Exhibition) มีความมั่นใจในการเข้าร่วมชมงานในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งดังกล่าวนี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญในการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
อนึ่ง K เป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากความเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจออกแบบและตกแต่งงานอย่างครบวงจร (One-Stop-Shop Solution)ไม่ว่าจะเป็นงานตกแต่งภายในครบวงจร (Interiors), งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions), งานการตลาดทางเลือก (Alternative Marketing) และงานพิพิธภัณฑ์ (Museums & Thematic Park)
นายชยวัฒน์ เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ที่คาดจะได้เงินจำนวน 200-300 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้ในการขยายโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ที่ลำลูกกา คลอง 6 และลงทุนในโรงงานรังสิต-นครนายก คลอง 11 รวมถึงากรลงทุนเพื่อขยายธุรกิจในเมียนมาร์ และ 100 ล้านบาท จะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคาร ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนทางธุรกิจ