XO บวก 5% ปักธงปีนี้ดันรายได้โต 10% กำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 40%
XO บวก 5% นิวไฮรอบ 2 เดือน ปักธงปีนี้ดันรายได้โต 10% กำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 40% เล็งปรับราคาขายขึ้นเฉลี่ย 8-12% บวกกับการออกสินค้า-ขยายตลาดใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(2พ.ค.66) ราคาหุ้นบริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ณ เวลา 15:11 น. อยู่ที่ระดับ 13.40 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 4.69% สูงสุดที่ระดับ 14.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 12.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 44.89 ล้านบาท ราคาหุ้นแรงในรอบ 2 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 13.50 บาท เมื่อวันที่ 14 ก.พ.66
โดยก่อนหน้านี้นายจิตติพร จันทรัช กรรมการ และกรรมการผู้จัดการ XO เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีรายได้จากการขายเติบโต 10% จากปี 2565 ที่มีรายได้จากการขาย 1,455 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ไม่ต่ำกว่า 40% จากปี 2565 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 41%
โดยรายได้จากการขายที่เติบโตเป็นผลมาจากการปรับราคาขายสินค้ากลุ่มหลักขึ้น 8-12% ที่จะทยอยปรับราคาขายขึ้นในบางกลุ่มสินค้ามาตั้งแต่ต้นปีไป และจะมีการปรับราคาขายขึ้นเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2566 ซึ่งปัจจุบันมีสินค้ามากกว่า 700 รายการ และมีช่องทางการขายที่แข็งแกร่งทั่วโลก
ทั้งนี้ในปี 2566 บริษัทเตรียมกระตุ้นยอดขายผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น Sriracha Ketchup และ Sriracha Hemp red Chilli เป็นต้น ขณะที่ในปี 2566 ยังมีแผนขยายฐานลูกค้าประเทศใหม่ ๆ ด้วยการออกงานแสดงสินค้าทั่วโลกมากกว่า 22 งานเป็นอย่างน้อย และในปี 2567 น่าจะมีการออกงานแสดงสินค้าไม่ต่ำกว่า 20 งาน
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการล็อกราคาวัตถุดิบในการผลิตไว้เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากต้นทุนราคาวัตถุดิบในการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2565 โดยล็อกราคาพริกไว้จนถึงฤดูกาลหน้า ล็อกราคากระเทียมไว้จนถึงกลางปี 2567 และ ล็อกราคาน้ำตาลไว้จนถึงสิ้นปี 2566 (ราคาน้ำตาลผันผวน)
สำหรับรายได้จากการขายในไตรมาส 1/2566 คาดว่าจะชะลอตัวลงจากไตรมาส 4/2565 เนื่องจากมีการปรับราคาขายทำให้ลูกค้ากลุ่มรีเทลมีการสั่งซื้อ (Order) สินค้าน้อยลงบ้างในช่วงแรก และหลังจากโควิด-19 คลี่คลายผู้บริโภคยังคงมีการท่องเที่ยวที่ลากยาวมาอย่างน้อยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ทำให้การทำอาหารที่บ้านน้อยลง
“จากการพูดคุยกับกลุ่มพันธมิตรคู่ค้ารายใหญ่ของ XO คาดว่ายอดขายจะยังซึมไปจนถึงกลางปี และกลับมาฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 อย่างไรก็ดีบริษัทมียอดขายหลักมาจากยุโรป 80% เอเชียและแอฟริกา 8% ปัจจุบันยังเห็นยอดขายที่ยังทรงตัว สหรัฐอเมริกา 5% ออสเตรเลียและโอเชียเนีย 7% ซึ่งเห็นยอดขายขยายตัวเพิ่มขึ้น” นายจิตติพร กล่าว
ส่วนที่ดินที่ซื้อไว้น่าจะเริ่มก่อสร้างโรงงานที่โรจนะได้ภายในกลางปี 2567 เนื่องจากอยู่ระหว่างการออกแบบโรงงาน และไลน์การผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น Mayo เป็นต้น คาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 15 เดือน หากมีความชัดเจนจะแจ้งให้ทราบต่อไป และมองว่าจะมีฐานลูกค้าใหม่พร้อมรองรับกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน