หอการค้าไทย ชี้เปิดเทอมปี 66 เงินสะพัด 5.79 หมื่นล้าน สูงสุดรอบ 14 ปี

หอการค้าไทย ออกมาเปิดเผยผลสำรวจการใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมปี 66 มีโอกาสเงินสะพัดกว่า 5.79 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 14 ปี


นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมปี 2566 พบว่า การจับจ่ายใช้สอยของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมปีนี้ จะมีมูลค่าการใช้จ่ายรวม 57,885.63 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 2562 ที่ 5.30% โดยในปีนี้ถือว่ามีมูลค่าการใช้จ่ายสูงสุด นับตั้งแต่หอการค้าทำการสำรวจมา (ในรอบ 14 ปี) ส่วนค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของปี 2566 อยู่ที่ 19,507.33 บาท/คน เพิ่มขึ้น 6.6% จากปี 2562 ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 18,299.94 บาท/คน

ดังนั้น ในไตรมาสที่ 1-2/2566 เศรษฐกิจฟื้น แต่ฟื้นแบบ K-shape คนยังระมัดระวังจากการจับจ่ายใช้สอย เพราะบางกลุ่มมีเงินพร้อมใช้ แต่บางกลุ่มยังได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพสูง จากผลสำรวจพบว่า 37.8% ผู้ปกครองใช้จ่ายเท่าเดิม และ 29.9% ใช้จ่ายมากขึ้น โดยปัจจัยของการใช้จ่ายที่มากขึ้น หลักๆ มาจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น

นอกจากนี้ยังพบอีกว่าผู้ปกครอง 36.5% ระบุว่า มีเงินไม่พอใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม จึงมีการเบิกเงินจากบัตรเครดิต/ บัตรกดเงินสดมากขึ้น รองลงมา คือจำนำทรัพย์สิน กู้เงินในระบบ และยืมญาติพี่น้อง ตามลำดับ ในส่วนของผู้ที่ตอบว่าเงินมีเพียงพอใช้จ่าย อยู่ที่ 63.5% หรือสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา

ขณะเดียวกันมี 36.5% ที่บอกว่าเงินไม่พอ ได้มีการกู้เงินในระบบและนอกระบบ ซึ่งนอกระบบมีประมาณ 7% ซึ่งถือว่าไม่มาก ทั้งนี้ ไม่ได้มองว่าเศรษฐกิจไม่ดี หรือจะกลายเป็นปัญหาเพิ่มหนี้สินในระยะยาว เพราะเป็นเพียงการหมุนเวียนเงินในช่วง 2-3 เดือนเท่านั้น

ทั้งนี้ รัฐบาลใหม่มีภาระเชิงเศรษฐกิจสำคัญ 3 ประเด็น คือ 1. ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในเวลาอันรวดเร็ว 2. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจและสังคมไทย และ 3. ทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ และทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จากการสำรวจของ International Institute for Management Development (IMD) และ World Economic Forum (WEF) พบว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับปานกลาง โดยจุดที่มีความเปราะบางสูง คือ โครงสร้างพื้นฐาน ระบบการศึกษา วิทยาศาสตร์ และประสิทธิภาพของแรงงาน ซึ่งประเด็นเรื่องการศึกษา คือการตอบโจทย์ปัญหาในระยะปานกลาง-ระยะยาว

ดังนั้น รัฐบาลชุดหน้า ควรเน้นเรื่องการปฏิรูประบบการศึกษาให้ได้ประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือจะมีผู้เสียภาษีน้อยลง จึงต้องเพิ่มทักษะแรงงานโดยเร่งด่วน ด้วยการปรับปรุงระบบการศึกษา

จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายพรรคการเมืองด้านการศึกษา พบว่า กว่า 80% เห็นด้วยมากกับนโยบายโครงการให้อาหารฟรีให้กับเด็กนักเรียน และนโยบายกำจัดระบบแป๊ะเจี๊ยะ และกว่า 70% เห็นด้วยมากกับนโยบายมีโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น และนโยบายเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี ขณะที่กว่า 60% เห็นด้วยมากกับนโยบายสร้างเด็กไทย 3 (ภาษาไทย/ ต่างประเทศ/ Coding) และกว่า 50% เห็นด้วยมากกับนโยบายยกเลิกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)

นอกจากน้ยังพบว่าผู้ปกครองต้องการให้รัฐช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาทั้งค่าเทอม ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าบำรุงต่างๆ ค่าเครื่องแบบนักเรียน พร้อมกับพัฒนา เสริมสร้างบุคลากรด้านการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาของประเทศที่พัฒนาแล้ว

โดยสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลปรับปรุงด้านการศึกษาของไทยในปัจจุบัน คือ เพิ่มจำนวนบุคลากรด้านการศึกษาที่มีศักยภาพให้เพียงพอ และควรปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสม ในแต่ละช่วงอายุ และพัฒนาการของเด็ก

Back to top button