JMART-SINGER ร่วง! เซ่นงบ Q1 พลิกขาดทุน “ซิงเกอร์” ตั้งสำรองพันล้าน ตูมเดียวจบ
นักลงทุนขาย JMART-SINGER หลังงบไตรมาส 1/66 พลิกขาดทุน จากรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจาก SINGER หลังมีการตั้งสำรองพุ่ง ส่งซิกว่าพ้นจุดต่ำสุด คาดปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/66
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 พ.ค.66) ณ เวลา 10:17 น. ราคาหุ้น บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART อยู่ที่ระดับ 19.60 บาท ลบ 0.70 บาท หรือ 3.45% สูงสุดที่ระดับ 20.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 19.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 314.08 ล้านบาท
ด้านราคาหุ้น บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER อยู่ที่ระดับ 12.30 บาท ลบ 1.20 บาท หรือ 8.89% สูงสุดที่ระดับ 12.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 218.26 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้น JMART และ SINGER ปรับตัวลดลงวันนี้ หลังรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/66 พลิกขาดทุน โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ผลงาน JMART พลิกขาดทุนสุทธิ 294.73 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจาก SINGER ตามสัดส่วน 25.2% ด้วยมูลค่า 218 ล้านบาท และผลจากการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Loss) จากเงินลงทุนในตราสารทุน มูลค่า 352 ล้านบาท (หลังหักภาษี) แต่หากไม่รวมผลจากการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (หลังหักภาษี) จะทำให้บริษัท JMART จะมีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากเจาะรายละเอียดเพิ่มเติมพบว่าบริษัทกลับมีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และเงินให้สินเชื่อ 712.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 638.40 ล้านบาท และกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ ซึ่งเป็นรายได้ในส่วนของธุรกิจการเงินทั้งในส่วนของเจเอ็มที 969.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% เนื่องจากการจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพได้มากขึ้น
ขณะเดียวกันยังมีรายได้ค่าเช่า 88.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 70.7 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการขยายพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น และอัตราการเช่าที่ดีขึ้นในส่วนธุรกิจของ เจเอเอส แอสเซ็ท
รวมถึงรายได้จากการรับประกันภัย 74.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 58.70 ล้านบาท โดยเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากการจัดทำงบการเงินรวมของบริษัทย่อยในธุรกิจประกันภัย ซึ่งมีการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้น ทั้งช่องทางของบริษัทเองและบริษัทในกลุ่มเจมาร์ท
นอกจากนี้ มีต้นทุนขายและบริการรวม 2,254.90 ล้านบาท ลดลง 7.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,446.70 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของต้นทุนขายในส่วนธุรกิจการจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ
ส่วนกำไรขั้นต้นจากงบการเงินรวมไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 1,122.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ในแต่ละส่วนงานธุรกิจหลัก โดยเฉพาะส่วนของธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ
ทั้งนี้ บริษัทและในกลุ่มได้ทราบถึงสถานการณ์ดังกล่าว โดยได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินการให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อจำกัดผลกระทบดังกล่าวให้เกิดขึ้น โดยบริษัทคาดการณ์ว่าไตรมาส 1/2566 นี้จะเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของผลประกอบการของบริษัทที่จะได้รับผลกระทบ และจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 เป็นต้นไป