สบจังหวะ SET หลุด 1,500 จุด แนะเก็บ “บลูชิพ” ต่ำกว่าพื้นฐาน ชู PTTGC-MINT แกร่งกว่าตลาด

สบจังหวะ SET หลุด 1,500 จุด แนะเก็บ "บลูชิพ" ต่ำกว่าพื้นฐาน ชู PTTGC-MINT แกร่งกว่าตลาด ด้านนักลงทุนรอติดตามการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) จัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคการเมืองที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดวันนี้(22 พ.ค.66)  ดัชนีอยู่ที่ 1,498.70 จุด ลดลง 16.19 จุด หรือ 1.07% มูลค่าซื้อขายที่ 8.45 พันล้านบาท โดยการปรับตัวลงแรงเนื่องจากมีแรงเทขายในหุ้นขนาดใหญ่(SET50) เป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันมีหุ้นในกลุ่มเพียง 2 ตัวที่บวกสวนภาวะตลาดดังตางรางประกอบ

ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยต้นภาคเช้าร่วงหนักหลุดแนวรับสำคัญ 1,500 จุด ตอบรับความไม่แน่นอนของทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ทำให้มีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมากดดันตลาดอยางหนัก ขณะที่นักลงทุนรอติดตามการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) จัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคการเมืองที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ

ด้านบล.พาย ระบุว่า สัปดาห์นี้ปัจจัยการเมืองยังคงเป็นที่จับตา โดยเฉพาะวันนี้กับร่าง MOU ของแกนนำกลุ่มจัดตั้งรัฐบาล หากร่าง MOU ที่ประกาศออกมาแล้วส่งผลให้ ส.ว. เริ่มเห็นด้วยกับแนวทางบริหารประเทศ และมีจำนวน ส.ว. ต่อการโหวดมากขึ้นก็จะช่วยคลายความกังวลต่อการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น

ส่วนนโยบายของพรรคก้าวไกลที่จะเน้นสนับสนุนฐานล่างมากกว่าฐานบน ยังเชื่อว่าใช้ระยะเวลาและยังไม่เห็นผลกระทบเชิงลบต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในเร็วๆนี้ และอีกปัจจัยคือนโยบายต่างๆ อาจเต็มที่ไม่ได้มากนัก เพราะไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียว ยังมีพรรคอื่น ๆ ผสมกัน โดย Timeline หลังจากนี้กว่าจะเข้าสู่ช่วงเวลาเลือกนายกรัฐมนตรีก็ช่วงปลาย ส.ค. จึงเชื่อว่าแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองจะค่อยๆลดลงจากนี้ และอีกไม่นานตลาดก็จะกลับไปให้น้ำหนักกับตัวเลขเศรษฐกิจ

บล.พาย ประเมิน SET INDEX สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,500-1,540 เชิงกลยุทธ์การลงทุน ยังมองเป็นโอกาสสะสมความกังวลต่างๆ ถูกสะท้อนไปในราคาพอสมควร แนะกลุ่ม Domestic Play อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL DOHOME HMPRO) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ขนส่ง (BEM) ท่องเที่ยว (AOT MINT SHR VRANDA) อาหาร (TU) สินค้า IT (COM7) ส่วน Trading แนะหุ้นที่ผลประกอบการยังเด่น (ICHI SAPPE) และศูนย์การค้า (CPN) AOT (ซื้อราคาเป้าหมาย 82.00 บาท)

โดยยังมีมุมมองที่ดีกับ AOT ในแง่ของผู้ประกอบการที่ได้รับผลดีจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะผลการดำเนินงานที่ในช่วง FY ไตรมาส 2/66 กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1,861 ลบ. (+443%เทียบไตรมาสก่อนหน้า) หลังเที่ยวบินและผู้โดยสารเติบโตต่อเนื่องจากการเปิดประเทศของจีน นอกจากนี้แนวโน้มในช่วง FY3Q23 จะเริ่มได้รับผลดีจากมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่สิ้นสุดลง

โดย CPN (ซื้อราคาเป้าหมาย 83.00 บาท) แนวโน้มในช่วงไตรมาส 2/66 คาดว่ารายได้จะยังเห็นการเติบโตขึ้นได้จากช่วงเทศกาลสงกรานต์และหลังจากนี้ CPN ยังคงมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่มีการเปิดเซ็นทารา อุบลไปในช่วงเดือน มี.ค. ซึ่งจะมีเปิดอีก 5 แห่งในช่วงที่เหลือของปีนี้

Back to top button