SAPPE บวกต่อ 3% “ออลไทม์ไฮ” รับเข้า MSCI Small Cap มีผล 31 พ.ค.

SAPPE บวกต่อ 3% “ออลไทม์ไฮ” รับเข้า “MSCI Small Cap” มีผล 31 พ.ค. ฟากโบรกประสานเชียร์ “ซื้อ” เคาะเป้าสูง 97 บาท ลุ้นกำไร Q2/66 โตแกร่งรับไฮซีซั่น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้(31พ.ค.66) ราคาหุ้นบริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ล่าสุด ณ เวลา 10:46 น.อยู่ที่ระดับ 83.75 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 2.76% สูงสุดที่ระดับ 85.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 81.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 51.52 ล้านบาท ราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.57

โดยในวันนี้หุ้นไทยที่ได้ประกาศเข้าคำนวณ MSCI Rebalance รอบใหม่ คาดว่าจะมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าในตลาดหุ้นไทยและหุ้นที่ได้รับการเข้าคำนวณรอบใหม่จะทะยานขึ้นแรง และคาดเป็นโอกาสเข้าลงทุนหุ้นที่ถูกปรับเข้าใน MSCI Global Standard คือ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO รวมทั้งหุ้นที่จะถูกปรับเข้า MSCI Global Small Cap Index คือ JMT, บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)  หรือ TIDLOR, บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE, บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB ,บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU

ด้านบล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ว่า แนะติดตามการ Rebalance ดัชนี MSCI All Countries World Index คาด MAKRO มีโอกาสสูง หากเข้าลุ้นเม็ดเงินไหลเข้าราว 105 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,541 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SAPPE ปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 97 บาท เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่องจากการทำการตลาดและพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ มองแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2-3 ของปีนี้ยังเติบโตต่อเนื่อง จากทั้งในประเทศและส่งออก

ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” SAPPE พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 88 บาท จากเดิม 68 บาท มีค่า P/E ในปี 2566 อยู่ที่ 25 เท่า โดยราคาหุ้นปรับตัวได้ดีกว่าคู่แข่งโดยกระโดดเพิ่ม 69% ในปี 2565 และในปี 2566 อยู่ที่ 70% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน คิดว่าราคาหุ้นได้ สะท้อนคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่อยู่ในระดับสูงไปแล้วบางส่วน อย่างไรก็ดีราคาเป้าหมายใหม่ มีอัพไซด์อยู่ที่ 16.9%

นอกจากนี้ บล.กรุงศรี  ระบุในบทวิเคราะห์ ยังคงแนะนำ “ซื้อ”  SAPPE ประเมินราคาเป้าหมายที่ 94 บาท โดยมองแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวจากการเติบโตของยอดขายในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป คาดว่ายอดขายจะเติบโต 72% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2566 ซึ่ง SAPPE กำลังขยายเครือข่ายจัดจำหน่าย

ขณะที่คาดว่ายอดขายในประเทศไทยจะเติบโต 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในปีนี้ จากการฟื้นตัวหลังโควิด-19 และมีการนำสินค้าใหม่ๆ ออกวางตลาด เชื่อว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SAPPE จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วงปี 2566-2571 จากการเติบโตของยอดส่งออก ทั้งนี้ค่า P/E ในปี 2566 อยู่ที่ 25 เท่า

ด้านนางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ สถาบันที่เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนในประเทศไทย เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรจีน ภายใต้แบรนด์ “เซ็ปเป้ อินหยาง เอ็กซ์ หัวเฉียว” 2 เจาะกลุ่ม Silver Age รุ่นใหญ่ วัยมั่งคั่ง เสริมพอร์ตสินค้าให้ SAPPE แข็งแกร่ง

สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรจีน “เซ็ปเป้ อินหยาง เอ็กซ์ หัวเฉียว” ถูกออกแบบมาเพื่อคนยุคปัจจุบันให้สามารถเข้าถึงสมุนไพรจีนได้ง่ายที่สุด มี 2 สูตร ได้แก่ สูตรสดชื่น (กล่องแดง) คิดค้นมาเพื่อบำรุงกำลัง เติมความสดชื่นในการทำงานและใช้ชีวิตได้เต็มประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับคนนอนดึก ทำงานหนัก และพักผ่อนน้อย จำหน่ายราคากล่องละ 1,200 บาท และ สูตรใจสงบ (กล่องน้ำเงิน) ช่วยปรับอารมณ์ ลดความเครียด ทำให้นอนหลับได้ง่ายและสบายขึ้น จำหน่ายราคากล่องละ 1,600 บาท

โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของผลิตภัณฑ์ มุ่งเน้นกลุ่ม Silver Age (รุ่นใหญ่ วัยมั่งคั่ง) และคนวัยทำงานที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพ เพราะมีพลังในการใช้ชีวิตอยู่มาก จึงมองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อตอบโจทย์ให้พร้อมใช้ชีวิตในทุกวัน สามารถหาซื้อได้ผ่านร้านขายยา ช่องทางออนไลน์ ทั้ง Facebook, Line และ Shopee

ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาด Supplement (ตลาดอาหารเสริม) ภายในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ประมาณ 5-8% ต่อปี บริษัทเชื่อว่าในอนาคตจะเติบโตสูงกว่านี้ หลังจากที่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จะเป็นตัวผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น บริษัทจึงเข้ามารุกตลาดอาหารเสริมมากขึ้น

ด้านการวางเป้าหมายในตลาด Supplement ภายใน 5 ปีจากนี้ (ปี 2566-2570) บริษัทได้วางเป้าหมายยอดขายสะสมรวมไว้ที่ 500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของยอดขายรวมในปี 2569 ที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารเสริมแล้ว 2 แบรนด์ ได้แก่ ภายใต้แบรนด์ “เซ็ปเป้อินไซต์” เป็นผลิตภัณฑ์น้ำวิตามิน และภายใต้แบรนด์ “อินหยาง” ซึ่งจะมียาอมตะขาบ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรจีน และในอนาคตแบรนด์อื่น ๆ เข้ามาเสริมพอร์ต

นางสาวปิยจิต กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเป้าหมายปี 2566 จะมีรายได้รวมเติบโต 25% จากปี 2565 ที่มีรายได้รวม 4,566 ล้านบาท (ไม่รวมยอดขายจากแบรนด์ เซ็ปเป้ อินหยาง เอ็กซ์ หัวเฉียว) ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 จะเติบโตได้ดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวกลับมา และปัจจัยด้านฤดูกาลที่จะช่วยเข้ามาหนุนยอดขายในประเทศ ขณะที่ในต่างประเทศบริษัทได้รับอานิสงส์ด้านค่าเงินบาท

ส่วนนโยบายค่าแรงขั้นต่ำที่จะปรับเพิ่มขึ้น บริษัทมองว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนแน่นอน เนื่องจากบริษัทมีจำนวนพนักงานอยู่ราว 700-800 คน ซึ่งบริษัทได้วางแผนรับมือในการบริหารจัดการต้นทุนไว้แล้ว โดยที่ไม่มีนโยบายเลิกจ้างพนักงาน คือการลงทุนระบบอัตโนมัติซึ่งใช้งบลงทุนประมาณ 300-400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงปลายปีนี้

Back to top button