“ฟันด์โฟลว์” ไหลเข้า ADVANC ดันหุ้นวิ่งยาว 5 วันเฉียด 4% โบรกเคาะเป้าใหม่ 240 บาท
แรงซื้อ ADVANC เข้าต่อเนื่อง 5 วัน ดันราคาขึ้น 4% โบรกฯอัพเป้าใหม่ 240 บาท รับภาวะแข่งขันด้านราคาตลาดมือถือลดเร็วกว่าคาด Consensus จาก 20 โบรกเกอร์ ประเมินรายได้ ADVANC ปี 66 อยู่ที่ 197,490 ล้านบาท กำไรสุทธิ 29,777 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 มิ.ย.66) ราคาหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ณ เวลา 10:12 น. อยู่ที่ระดับ 218 บาท บวก 1 บาท หรือ 0.46% สูงสุดที่ระดับ 218 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 217 ล้านบาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 41.68 ล้านบาท
โดยราคาหุ้น ADVANC ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 นับตั้งแต่ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 210 บาท เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.66 คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 8 บาท หรือ 3.80%
นายศุภชัย วัฒนวิเทศกุล นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จํากัด ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2566 ของ ADVANC และปรับประมาณการทำให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 240 บาท/หุ้น จากเดิม 235 บาท โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้น ADVANC ปัจจุบันซื้อขายบน EV/EBITDA ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตในภาวะที่ตลาดมีผู้เล่น 3 ราย และแข่งขันรุนแรง สะท้อนว่าตลาดกังวลกับความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ไปมากแล้ว
ทั้งนี้ ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติทั้งปี 2566 ขึ้น 8% และปี 2567 ขึ้น 9% ซึ่งประมาณการปี 2566 มีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นมาจาก 1) การแข่งขันด้านราคา โดยเฉพาะในตลาดมือถือที่ลดลงเร็วกว่าคาด และ 2) ดีลบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ที่ล่าช้าออกไป 1 ไตรมาส ทำให้ผลกระทบเชิงลบต่องบการเงินระยะสั้นในปี 2566 ลดลง เพราะจะรับรู้งบที่ขาดทุนเพียงครึ่งปีหลังของปี 2566 จากการปรับสมมติฐานการรับรู้ผลขาดทุนจาก 3BB จาก 9 เดือน เหลือเพียง 6 เดือน ในปี 2566 และปรับลดสมมติฐานค่าเสื่อมราคาที่สามารถควบคุมได้ดีจากการหมดอายุของสินทรัพย์บางส่วน รวมทั้งปรับลดสมมติฐานค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร หรือ SG&A ที่ควบคุมได้ดีกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มประมาณการปี 2566-2567 อาจมีแรงกดดันด้านกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ ทำให้ตลาดกังวลต่ออุตสาหกรรมในระยะถัดไป ได้แก่ 1) ภาครัฐจะพยายามเพิ่มผู้เล่นรายใหม่ในอุตสาหกรรม 2) การควบรวมกิจการของ 3BB และ ADVANC อาจมีความล่าช้า และ 3) การควบคุมหลังการควบรวมกิจการของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เดิม และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ที่อาจจะเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมรายได้เฉลี่ยของผู้ให้บริการต่อลูกค้าหนึ่งคน หรือ ARPU
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ประเด็นกังวลดังกล่าว มองว่าโอกาสเกิดผู้เล่นรายใหม่ในอุตสาหกรรม ณ ภาวะ Late-cycle ประเมินว่าเป็นไปได้ต่ำ เพราะผู้เล่นรายใหม่ต้องลงทุนจำนวนมาก ทั้งคลื่นความถี่และโครงข่าย แม้ว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือก็ไม่ง่ายเช่นกัน เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะทำกำไรได้ และเป็นไปได้ยากที่ภาครัฐจะสนับสนุนจำนวนมากกับเอกชนรายใดรายหนึ่ง รัฐบาลใหม่น่าจะต้องมองหาการลงทุนด้านอื่นที่มีความคุ้มค่ากับเวลาและเม็ดเงินมากกว่า
ส่วนการควบรวมกิจการกับ 3BB ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยกสทช.เพิ่งมีมติให้คณะทำงานไปทำ Focus Group เพิ่มเติม จึงประเมินว่าดีลจะมีความท้าทายมากขึ้นที่จะผ่านภายใต้รัฐบาลใหม่ แต่โอกาสผ่านก็ยังสูง
เนื่องจากหากดีลไม่เกิดขึ้นมองเป็นลบกับ ADVANC ในระยะยาว แต่ราคาหุ้น ADVANC ปรับลงมารับความเสี่ยงเชิงลบดังกล่าวไปมากแล้ว รวมถึงการควบคุมหลังการควบรวมกิจการที่อาจเข้มข้นขึ้น ที่เป็นอีกแนวทางสำคัญที่มีโอกาสเกิดขึ้น การควบคุมหลัก ๆ อยู่ที่การติดตามราคา Package ที่อาจกระทบต่อลูกค้า ซึ่งอาจมีผลทำให้การปรับขึ้นราคาของกลุ่มเกิดขึ้นได้ช้ากว่าที่ตลาดคาด ปัจจัยดังกล่าวจะกระทบให้ ADVANC น่าดึงดูดน้อยลง เป็นความเสี่ยงหลักที่ต้องติดตาม ซึ่งในระยะสั้นแนวโน้มการแข่งขันในไตรมาส 2/2566 เบื้องต้นยังทยอยลดลงจากไตรมาสก่อนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ด้าน Refinitive Consensus จาก 20 โบรกเกอร์ ประเมิน ADVANC คาดว่าจะมีรายได้รวมปี 2566 อยู่ที่ 197,490 ล้านบาท กำไรสุทธิ 29,777 ล้านบาท และราคาเป้าหมาย 240.83 บาท