จังหวะเก็บ GULF ลุ้นกำไร Q2 โตทะลุ 20% ราคาเป้าเฉลี่ย 60.66 บาท

ได้เวลาซื้อกลับ GULF โบรกฯ แนะกลับมามองปัจจัยพื้นฐาน จับตากำไรไตรมาส 2 แตะ 3,765 ล้านบาท โต 22% จากรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศเพิ่ม 8 โบรกเกอร์ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 60.66 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (12 มิ.ย.66) ราคาหุ้น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ณ เวลา 10:00 น. อยู่ที่ระดับ 45.75 บาท ลบ 1.25 บาท หรือ 2.66% สูงสุดที่ระดับ 46.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 45.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 373.46 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้น GULF ปรับลดลงมากกว่า 19.52% โดยช่วงต้นปีราคาต้นทุนพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นแรงกดดันต่อหุ้นทั้ง 2 บริษัท และหลังจากนั้นมีการเลือกตั้ง ปัจจัยด้านการเมืองได้เข้ามากดดันหนักอย่างต่อเนื่อง จากประเด็นที่แกนนำจัดตั้งรัฐบาล (พรรคก้าวไกล) มีนโยบายแก้ไขสัญญากับกลุ่มโรงไฟฟ้า และนโยบายลดค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ทำให้ราคาปรับลดลงมาอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวถือว่าตอบรับเชิงลบไปหมดแล้ว ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาดูปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่น่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ของ GULF และ GPSC

โดยสอดคล้องกับนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) แนะนำให้ลงทุนหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะ  GULF และ GPSC เนื่องจากพื้นฐานยังดี ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก  ส่วนผลกระทบจากนโยบายทางการเมืองจะไม่รุนแรงอย่างที่ตลาดกังวล และช่วงครึ่งหลังปีนี้ ปัจจัยบวกจะกลับมาอีกครั้ง จากความคืบหน้าโครงการระหว่างเจรจาของ GULF รวมถึงการฟื้นตัวของกำไรหลังโรงไฟฟ้าใหม่ทยอย COD เพิ่ม

โดยแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2566 GULF คาดว่ากำไรปกติอยู่ที่ 3,765 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากรายได้เติบโตจากโรงไฟฟ้า GPD (โรงไฟฟ้าปลวกแดง) ที่เริ่ม COD และโรงไฟฟ้า GSRC (โรงไฟฟ้าศรีราชา) ที่ COD ครบทุกยูนิต

รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จากการขายไฟฟ้ากลุ่มอุตสาหกรรม (IU) ฟื้นตัวตามค่าไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีรายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้นกลบส่วนแบ่งขาดทุนจากโรงไฟฟ้า Jackson ที่สหรัฐอเมริกาได้ ทั้งนี้ประเมินกำไรปี 2566 จะอยู่ที่ 17,224 ล้านบาท เติบโต 50.85% แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 55 บาท

ส่วนแนวโน้มการเติบโตของ GULF บริษัทคาดว่าครึ่งปีหลัง แรงกดดันของประเด็นค่าไฟฟ้าในประเทศที่อยู่ในระดับสูงจะลดลงตามราคาก๊าซ และลดความกังวลของตลาด โดยการลดลงของราคาก๊าซฯ จะมาจากราคา LNG ที่ลดลงและปริมาณก๊าซฯ ในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น

สำหรับการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบแรกราว 5,300 เมกะวัตต์ บริษัทชนะประมูลกำลังการผลิตรวม 1,700 เมกะวัตต์ จะทยอย COD ช่วงปี 2567-2573 คาดจะเริ่มทยอยลงนาม PPA ใน 3-6 เดือน โดยมองภาครัฐ (รัฐบาลใหม่) มีแนวโน้มสนับสนุนการประมูลดังกล่าว จากการมีค่าไฟฟ้าต่ำกว่าค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของประเทศ, เป็นไฟฟ้าพลังงานสีเขียวที่ดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการไฟฟ้าสะอาดเพื่อลดภาระภาษีฯ และเป็นการดำเนินนโยบายตาม COP26

ทั้งนี้ บริษัทคงเป้าจะมีกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนปี 2570 ประมาณ 8,622 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าจะมีกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนปี 2576 ที่ 10,044 เมกะวัตต์ สะท้อนกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานลมใน U.K (COD ปี 2572) ที่เพิ่งเข้าลงทุน และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่จะทยอย COD ในปี 2573-2576

ขณะที่ปี 2566 บริษัทคงเป้าหมายรายได้เติบโต 50% จากปีก่อน (รายได้ตามนิยามของบริษัทจะรวมส่วนแบ่งกำไรฯ ไว้ด้วย) โดยได้ปัจจัยหนุนจาก

1) การรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้า GPD unit 1-2 คิดเป็นกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนรวมกว่า 928 เมกะวัตต์

2) การรับรู้กำไรจาก GSRC unit 3-4 กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนรวม 928 เมกะวัตต์ เต็มปี

3) การรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้า Jackson กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 588 เมกะวัตต์ (ตั้งแต่ไตรมาส 1/2566)

4) การรับรู้รายได้จาก THCOM

5) โครงการ Duqm COD และ

6) การรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Gulf Gunkul Corporation (GGC) เต็มปี

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Refinitive Consensus คาดการณ์ตัวเลขผลประกอบการปี 2566 ของ GULF รายได้รวม 112,612.18 ล้านบาท กำไรสุทธิ 16,121.90 ล้านบาท ราคาเป้าหมาย 60.66 บาท (8 โบรกเกอร์)

 

Back to top button