XO บวก 5% สูงสุดรอบ 2 ปี ส่งซิก Q2 ออลไทม์ไฮ ยอดขายทะลุ 500 ล้าน
XO บวก 5% สูงสุดรอบ 2 ปี คาดงบไตรมาส 2/66 "ออลไทม์ไฮ" ยอดขายทะลุ 500 ล้าน รับออเดอร์โซนอเมริกาพุ่ง พร้อมลั่นปีหน้ายอดขายพุ่ง 2,000 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 ก.ค.66) ราคาหุ้นบริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) จำกัด (มหาชน) หรือ XO ณ เวลา 10:53 น. อยู่ที่ระดับ 23.50 บาท บวก 1.10 บาท หรือ 4.91% สูงสุดที่ระดับ 24.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 22.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 84.60 ล้านบาท ราคาหุ้นนิวไฮในรอบ 2 ปี โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 24.40 บาท เมื่อวันที่ 8 ก.ค.64
โดยก่อนหน้านี้นายจิตติพร จันทรัช กรรมการ และกรรมการผู้จัดการ XO เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/2566 บริษัทมั่นใจยอดขาย และกำไรจะเติบโตได้ดีมาก คาดว่ายอดขายน่าจะเกินระดับ 500 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 397 ล้านบาท และเติบโตทำจุดสูง (All Time High) มากกว่าทุกไตรมาสที่ผ่านมา หลังคำสั่งซื้อ (Order) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งตลาดยุโรป และตลาดใหม่ที่ขยายเมื่อปีก่อน ทั้งอเมริกา เม็กซิโก และแคนนาดา เป็นต้น จากเดิมมีขายเพียงโซนอเมริกาใต้ รวมทั้งอัตราการเดินเครื่องจักรผลิตจะสูงกว่าไตรมาส 1/2566 ซึ่งอยู่ที่ 69%
โดยบริษัทประเมินว่าในไตรมาส 2/2566 คาดว่ายอดขายจากโซนอเมริกาจะเพิ่มเป็น 7-8% จากปี 2565 ที่แทบไม่มียอดขายเลย โดยไตรมาส 1/2566 เพิ่มขึ้นมาที่ 3-4% และสิ้นปี 2566 น่าจะเพิ่มขึ้นไปแตะ 10% หรือคิดเป็นยอดขายทั้งปีอยู่ที่ระดับ 180 ล้านบาท ส่วนเรื่องวัตถุดิบในการผลิตทั้งน้ำตาล กระเทียม และพริก ทรงตัวในระดับสูง บริษัทยังบริหารจัดการได้ ปัจจุบันได้มีการล็อกราคาถึงกลางปี 2567 แล้ว และตั้งแต่เดือน ม.ค. 2566 สินค้า 70% ได้ปรับราคาขายขึ้นตามต้นทุนไปแล้ว สินค้าอีก 20% ได้ปรับราคาขายในเดือน เม.ย. 2566 และสินค้าอีก 10% จะปรับราคาขายในเดือน ก.ค. 2566
ทั้งนี้จากออเดอร์ที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง ทั้งไตรมาส 1/2566 และไตรมาส 2/2566 บริษัทมั่นใจว่าจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 เติบโตดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ และมั่นใจว่า 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 จะทำจุดสูงสุดใหม่ ทั้งยอดขาย และกำไรสุทธิ ซึ่งสูงกว่าปี 2565 ที่มียอดขายรวม 1,480 ล้านบาท รวมถึงสูงกว่าปี 2564 ที่มียอดขาย 1,537 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท หลังตลาดโซนยุโรป และอเมริกา รวมถึงตลาดอื่น ๆ ขยายตัวได้ดี ซึ่งปัจจุบัน XO ส่งออกสินค้าไปมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ภายใต้สินค้ากว่า 800 รายการ (ศรีราชาหลักร้อยรายการ)
ส่วนภาพรวมทั้งปี 2566 บริษัทมองว่าผลการดำเนินงานจะออกมาดีกว่าแผนงานที่วางไว้เช่นกัน จึงได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายเป็นเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากเดิมคาดยอดขายจะเติบโต 10% จากปี 2565 ที่มียอดขายรวม 1,480 ล้านบาท รวมทั้งรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ไม่ต่ำกว่า 40% ซึ่งที่ผ่านมาทำได้ดีกว่านโยบายมาตลอด นอกจากนี้ช่วงที่เหลือของปีนี้เตรียมทำกิจกรรมทางการตลาด และการออกงานแสดงสินค้าอย่างต่อเนื่อง คาดว่าตลอดปีจะร่วมงานมหกรรมแสดงสินค้ามากว่า 24 งาน รวมถึงบุกช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยม เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์มากขึ้นด้วย
สำหรับในปี 2566 บริษัทได้ลงทุนสร้างโรงดองพริกที่จังหวัดพิษณุโลก ทั้งอาคาร และไลน์ผลิต มูลค่ารวม 40 ล้านบาท รวมทั้งเตรียมขยายโรงงานใหม่แห่งที่ 4 ในอุตสาหกรรมโรจนะ แหลมฉบัง ขนาด 40 ไร่ ใช้งบลงทุน 700-800 ล้านบาท โดยกำหนดเริ่มก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 และแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตสามารถรองรับยอดขายได้สูงสุดระดับ 5,500-6,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 200% ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิต และผลักดันซอสไทยสู่ตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
ขณะที่ในปี 2567 บริษัทประเมินว่ายอดขายจะแตะระดับ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากตลาดเดิม ทั้งโซนยุโรป และเอเชีย ยังมีออเดอร์ที่แข็งแกร่ง และตลาดอเมริกาเหนือยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ เนื่องจากปัจจุบันมีการกระจายสินค้าเพียงช่องทางค้าปลีกดั้งเดิม เป็นต้น ส่วนการเข้าควบรวม หรือซื้อกิจการ (M&A) หากมีโอกาสลงทุนจะเน้นเข้าซื้อบริษัทซอสพริกที่มีอยู่ในตลาดอยู่แล้วมาต่อยอดเพิ่มเติมเท่านั้น
“ปัจจุบันคู่ค้ามอง XO เป็นบริษัทซอส และปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร คิดเป็นมากกว่า 85-90% ของยอดขายรวม ถือเป็นสินค้าที่มีความสามารถในการทำกำไร (มาร์จิ้น) สูงที่สุดจากธุรกิจทุกกลุ่มในเครือ หากยอดขายกลุ่มนี้ขยายตัวได้ กำไรก็จะขยายตัวตามด้วย จึงเน้นขยายธุรกิจกลุ่มนี้เป็นหลัก อีกทั้งปัจจุบัน XO มีความพร้อมในการขยายธุรกิจ เนื่องจากมีกระแสเงินสดที่ดี และมีหนี้น้อย ส่วนเรื่องราคาหุ้นมองว่าเป็นไปตามตลาด และความสนใจของนักลงทุน ซึ่งน่าจะสะท้อนพื้นฐานผลการดำเนินงานในอนาคต” นายจิตติพร กล่าว