“พิธา” พร้อมส่งไม้ต่อให้ “เพื่อไทย”ตั้งรัฐบาล ลั่น“อยู่ในเรือลำเดียวกัน”

“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” พร้อมปรับยุทธศาสตร์ MOU ขอหารือ 8 พรรคร่วมก่อน หลังมีข่าวจะไม่เสนอชื่อชิงโหวตนายก ยันพร้อมส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยอันดับ 2 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะอยู่ในเรือลำเดียวกัน


วันที่ 18 กรกฎาคม 2566    นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุม ส.ส.ของพรรค ภายหลังวิป 3 ฝ่าย ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเสนอชื่อ นายพิธา เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ ว่า ตนยังไม่ได้อัพเดตหลังจากเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนตลอดช่วงเช้า ทำให้จะมาฟังผลการประชุมพรรคในช่วงบ่าย ทั้งเรื่องข้อบังคับการประชุม รวมถึงเรื่องต่าง ๆ โดยจะใช้เวลานี้คุยกับ ส.ส.ภายในพรรคทำให้ยังไม่ทราบรายละเอียด

ส่วนกังวลหรือไม่เพราะขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าจะเสนอชื่อนายพิธา ได้นั้น นายพิธา กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียดทำให้ไม่รู้ว่าควรจะต้องกังวลหรือไม่ต้องกังวล แต่เมื่อวานที่ประชุม 8 พรรคร่วม ได้อธิบายในแง่กฏหมายของทุกพรรค ฝ่ายกฎหมายหลายพรรคได้มาคุยกันว่าการโหวตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ การอ้างระเบียบข้อบังคับนั้นไม่เกี่ยว หรือหากเป็นญัตติต้องพูดให้ชัด แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ และมีหลายมุม ซึ่งต้องขอรอฟังที่ประชุม ส.ส.ให้อัพเดตให้ฟังก่อน

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยพูดถึงความพร้อมในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ต้องมีการเปิดทางจากพรรคก้าวไกลก่อนนั้น นายพิธา กล่าวว่า ครับเมื่อถึงเวลาก็เป็นแบบนั้น ส่วนจะต้องเตรียมแผนสำรองและเสนอชื่อคนที่จะมาโหวตนายกรัฐมนตรีแทนหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่เห็นสถานการณ์ที่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น อยากฟังสถานการณ์ก่อน ไม่ว่าจะเป็นการยื่นกฎหมาย หรือที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย

ส่วนการเสนอปรับ MOUใหม่จะมีแผนหรือกรอบอย่างไรหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวย้ำว่า MOUยังเหมือนเดิมอยู่ และยังไม่ได้รับการติดต่อจากพรรคไหนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง วันนี้ยังไม่มีโอกาสได้ฟังข้อเท็จจริง มีเพียงฟังผู้สื่อข่าว ซึ่งจะต้องขอไปคุยกับพรรคร่วมทั้ง 8 พรรคก่อน หากมีการปรับเปลี่ยน พร้อมยืนยันว่า หากได้รับผลลัพธ์ สามารถปรับยุทธศาสตร์ไปได้เรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ส่วนกรณีที่ ส.ว.ระบุว่าหากพรรคก้าวไกลไม่แก้ม.112 ก็จะโหวตให้นั้น นายพิธา กล่าวว่า จากการอภิปรายเมื่อวันที่ 13 ก.ค.เป็นโอกาสที่ทำให้เห็นภาพได้มากขึ้น ตนเห็นว่าบางคนคิดว่าเป็นเรื่องความยืดหยุ่นมากกว่า ว่าใครจะเป็นคนฟ้องผู้กระทำผิด เพื่อที่จะให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ เป้าหมายที่ไม่ให้ใครเอากฎหมายมาตรานี้มารังแกกัน ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเป็นคนฟ้อง บางคนบอกว่าต้องเป็นนายกฯ บางคนก็บอกว่าต้องเป็นคณะกรรมการ ซึ่งที่จริงแล้วการอภิปรายเมื่อวันที่ 13 ทำให้เราเข้ามกล้ามากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องแก้หรือไม่แก้ รู้สึกว่ามีความคืบหน้าเหมือนกันในเรื่องแบบนี้จากที่ไม่เคยคุยกันก่อน

ส่วนที่กลุ่ม ส.ว.พยายามคว่ำการโหวตก่อนที่จะมีการอภิปรายนั้น นายพิธา กล่าวว่า หากทำเพื่อสกัดกั้นตนคนเดียวแล้วให้กลายเป็นเรื่องของระบบทั้งหมด อีกหน่อยถ้ามันมัดตนเอง มัดพรรค มันก็จะมัดพรรคที่สอง พรรคที่สาม พรรคที่สี่ และผมเข้าใจว่าถ้าเป็นในเชิงรัฐศาสตร์ การเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กับญัตติ ต่อไปนี้ถ้ามีคนที่มาดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องมีการเสนอชื่อ ก็จะกลายเป็นญัตติหมด ไม่ว่าจะเป็นศาลหรือสภาแล้วโดนแบบนี้มันจะกลายเป็นการผูกที่แก้ยากมากๆและจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตของคนที่เข้ามาดำรงตำแหนางทางการเมือง

เมื่อถามว่า เป็นเพราะความพยายามสลับขั้วการตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่สามารถฟันธงได้ แต่หากสกัดกั้นตน เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะทำ

เมื่อถามว่ายืนยันหรือไม่ว่าหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกลจะอยู่ในสมการเดียวกัน นายพิธา กล่าวว่า นั่นเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ เพราะเป็นรัฐบาลที่ร่วมกันจัดตั้ง 8 พรรคร่วม มี MOU กันมาอย่างชัดเจน และทำงานมาถึงขั้นนี้แล้ว ตนคิดว่าหากตนในฐานะพรรคอันดับ 1 ไปต่อไม่ได้ ก็ส่งไม้ให้พรรคอันดับ 2 ก็คิดว่าคงจะอยู่ในเรือลำเดียวกัน ร่วมกันมาและตั้งรัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน

ส่วนจะมีเงื่อนไขอะไรที่จะดึงพรรคอื่นมาร่วมรัฐบาลหากมีการปรับ MOU นั้นนายพิธา ระบุว่า ยังไม่มีและให้ยึดตามแถลงเมื่อวานนี้

 

Back to top button