BANPU วิ่ง 3% รับแผนดัน BKV เข้าตลาด “นิวยอร์ก” ปีนี้ ขยายพอร์ตไฟฟ้า-ก๊าซ

BANPU บวกเกือบ 3% เดินหน้าดัน BKV เข้าตลาดหุ้นนิวยอร์กภายในปีนี้ หลังขยายพอร์ตธุรกิจก๊าซ-ไฟฟ้าในสหรัฐฯ เติบโต ฟากโบรกแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 10 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ณ เวลา 10:47 น. อยู่ที่ระดับ 9.40 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 2.73% สูงสุดที่ระดับ 9.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 710.75 ล้านบาท

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการนำ BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ที่ดําเนินธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติและธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในสหรัฐฯ เข้าจดทะเบียนใน New York Stock Exchange ตามแผนเดิมคือภายในปีนี้ แต่คงต้องรอให้สถานการณ์ตลาดดีกว่านี้ก่อน และเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน

โดยปัจจุบัน BKV มีปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติจาก 2 แหล่ง คือแหล่งก๊าซมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่าต่อวัน นับว่าเป็นอันดับ 1 ในรัฐเท็กซัส และเป็นอันดับที่ 16 ในสหรัฐฯ

ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้า ภายหลังจากเข้าซื้อหุ้นสัดส่วน 100% ในบริษัท CXA Temple 2 ผู้ประกอบการธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (Temple II) กำลังการผลิต 755 เมกะวัตต์ (MW) และเมื่อรวมกับโรงไฟฟ้า Temple I ขนาดกําลังการผลิต 768 เมกะวัตต์ ทำให้กลุ่มบริษัทมีกำลังการผลิตรวม 1,523 เมกะวัตต์ สามารถช่วยให้บริษัทมีกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งมีต้นทุนทางพลังงานที่ลดลงกว่า 20% นับว่าเพียงพอที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีนี้ แนวโน้มรายได้ของ BKV จะไม่เติบโตเท่ากับปีก่อน เนื่องจากราคาขายก๊าซเฉลี่ยลดลง จากปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 8 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู คาดปีนี้ลดลงมาเหลือประมาณ 3.8 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อเข้าลงทุนธุรกิจก๊าซฯ และไฟฟ้าในสหรัฐฯ เพิ่มเติมด้วยในอนาคต สอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter ของกลุ่มบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ของ BANPU คาดว่าจะเติบโตขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากบันทึกรายได้จากโรงไฟฟ้า Temple II เพิ่มเข้ามาตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. 2566 ซึ่งเริ่มเห็นเป็นกำไรแล้ว จากปีที่ผ่านมาขาดทุนอยู่บ้าง ส่วนธุรกิจถ่านหิน คาดว่าราคาขายเฉลี่ยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 120 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่เฉลี่ย 140 เหรียญสหรัฐต่อตัน

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า หลังจากบริษัท Temple Generation Intermediate Holding เป็นบริษัทย่อยของ BKV-BPP Power (BKV-BPP) ถือหุ้นสัดส่วน 100%  ซึ่ง BKV-BPP เป็นบริษัทร่วมทุนสัดส่วน 50:50 ระหว่าง BPPUS (BPP ถือหุ้น100%) และ BKV (BANPU ถือหุ้น 96.1%) ลงนามในสัญญาเพื่อซื้อหุ้นสัดส่วน 100% ในบริษัท CXA Temple 2 ผู้ประกอบการธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (Temple II) โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวจ่ายไฟฟ้าแล้ว ทำให้เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 เป็นต้นไป

นอกจากนี้มองว่าการเข้าลงทุนครั้งนี้ จะทำให้ Portfolio ของ BKV น่าสนใจมากขึ้น เพราะนับเป็นการต่อยอด Value Chain จากธุรกิจ Shale Gas ช่วยสนับสนุนแผนการนำ BKV เข้าจดทะเบียนในตลาด NYSE ซึ่งกรณี Listed BKV ได้สำเร็จจะช่วยเร่งการเติบโตในธุรกิจ Shale Gas (พลังงานสะอาด) และธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานตาม Trend Decarbonization นอกจากนี้จะทำให้ตลาดเห็นมูลค่าหุ้น BANPU ชัดเจนมากขึ้น สะท้อนว่าราคาตลาด BANPU ยังต่ำเกินไป เพราะไม่ให้มูลค่าธุรกิจอื่น เช่น เหมืองถ่านหินออสเตรเลีย (CEY), เหมืองถ่านหินจีน, Shale Gas สหรัฐฯ (BKV), เทคโนโลยีพลังงาน (Bnext) ดังนั้นคงคำแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเหมาะสม 10 บาท

Back to top button