5 หุ้นรับเหมาฯวิ่งคึก! โบรกชี้เก็งงบ Q2 โตดี ชู CK-STEC ท็อปพิก

4 หุ้นรับเหมาฯวิ่งคึก! โบรกชี้เก็งงบไตรมาส 2/66 โตดี พ่วงงานในมือพุ่ง ชู CK-STEC ท็อปพิก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ค.66) ราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาดีดบวก คาดเก็งกำไรผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 โตเด่น นำโดยบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ณ เวลา 11:12 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 10.20 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 3.55% โดยทำจุดสูงสุดที่ 10.20 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 9.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 107.17 ล้านบาท

บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ณ เวลา 11:12 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 0.52 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 4.00% โดยทำจุดสูงสุดที่ 0.53 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 0.51 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 0.74 ล้านบาท

 บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI ณ เวลา 11:23 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.86 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 5.46% โดยทำจุดสูงสุดที่ 3.94 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 3.68 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 16.68 ล้านบาท

บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ ณ เวลา 11:34 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.56 บาท บวก 0.16 บาท หรือ6.67% โดยทำจุดสูงสุดที่ 2.62 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 2.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.24 ล้านบาท

บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ณ เวลา 11:47 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 21.70 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 1.88% โดยทำจุดสูงสุดที่ 21.70 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 21.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 34.09 ล้านบาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ฝ่ายวิจัยฯจะมานำเสนอทิศทางผลประกอบการไตรมาส 2/66 รายอุตสาหกรรม โดยครั้งนี้จะนำเสนอดังนี้ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่คาดว่าจะมีผลประกอบการไตรมาส 2/66 เติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโตเทียบไตรมาส 1/66 โดยระบุไว้ดังนั้น’

สำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แม้บริษัทรับเหมาฯยังมีการดำเนินงานก่อสร้างโครงการที่ต่อเนื่องมาจากงวดไตรมาส 1/66  แต่จำนวนวันทำงานที่น้อยลง ทำให้การรับรู้รายได้ในงวดไตรมาส 2/66 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/66

อย่างไรก็ตามหากเทียบกับช่วงไตรมาส 2/65 ที่หลายบริษัทยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน เชื่อว่าจะเห็นรายได้ที่ปรับตัวสูงขึ้น ด้านอัตรากำไร โดยปกติในระหว่างปีบริษัทรับเหมามักจะไม่ได้มีการปรับประมาณการ Budget งานก่อสร้าง อีกทั้งต้นทุนวัสดุก่อสร้างสำคัญอย่างปูนซีเมนต์แทบไม่ได้ปรับตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 2/66 เทียบกับไตรมาส 1/66

ส่วนราคาเหล็กเส้นปรับลดลงประมาณ 5-10% เทียบไตรมาสก่อนหน้าจึงคาดว่าอัตรา gross margin โดยเฉลี่ยของกลุ่มรับเหมาฯ น่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 1/66 โดยบริษัทที่คาดว่าจะทำกำไรเด่นในไตรมาส 2/66 คือ CK ราคาเหมาะสม 27 บาท เพราะไตรมาสนี้จะได้รับเงินปันผลจาก TTW เข้ามา 232 บาท บวกกับส่วนแบ่งกำไรตามส่วนได้เสียจาก BEM ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้บริการทางด่วนและรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึง STEC ราคาเหมาะสม 13 บาท ที่จะรับรู้เงินปันผลจาก GULF และ TSE เข้ามาประมาณ 150 ล้านบาท

ด้านบริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ราคาเป้าหมาย 4.92 บาท ที่จะมีการรับรู้รายได้หลายโครงการใหญ่ในงวดไตรมาส 2/66 ทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ทางยกระดับพระราม2-บ้านแพ้ว และโครงการ North Pole ในเครือ Central ทำให้กำไรน่าจะอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาส 1/66 และ Turnaround เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/65 ที่มีผลขาดทุน

โดยก่อนหน้านี้นายปสันน สวัสดิ์บุรี รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส NWR เปิดเผยว่า แนวโน้มของการประมูลงานใหม่ในปี 66 หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน และใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน ส่งผลกระทบต่อโครงการประมูลงานใหม่จากภาครัฐที่ออกมาช้ากว่าที่บริษัทคาดไว้ ซึ่งบริษัทมีการติดตามงานประมูลโครงการที่จะเข้าร่วมประมูลราว 3 หมื่นล้านบาท และคาดหวังได้รับงานเข้ามาราว 1.4 หมื่นล้านบาท แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันในการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังรอความชัดเจนอยู่ ทำให้บริษัทปรับลดคาดการณ์เป้าหมายการคาดหวังได้รับงานใหม่เข้ามาเหลือ 7 พันล้านบาท จากแนวโน้มของการเปิดประมูลงานโครงการภาครัฐใหม่ๆที่จะอาจจะต้องเลื่อนออกไปในปี 67 เป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเดินหน้าในการทำงานที่ได้รับมาแล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานในการส่งมอบงานและรับรู้รายได้เข้ามา เพื่อทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีกำไรได้ หลังจากไตรมาส 1/66 มีผลการดำเนินงานขาดทุนราว 98 ล้านบาท แม้ว่ารายได้ในปี 66 คาดว่าจะใกล้เคียงหรือต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) เข้ามาราว 35% จาก Backlog ที่มีอยู่ราว 3.3 หมื่นล้านบาท

สำหรับผลกระทบของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้นมองว่าในเรื่องผลกระทบของต้นทุนรวมอาจจะมีผลกระทบราว 2% แต่หากทางรัฐบาลชุดใหม่มีการช่วยเหลือในการลดผลกระทบให้กับผู้ประกอบการก็จะทำให้ผลกระทบลดลงได้ แต่อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำยังคงต้องรอติดตามหลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้ว และการปรับขึ้นค่าแรงก็เป็นไปตามกลไก ซึ่งในส่วนของบริษัทสามารถรองรับผลกระทบจากค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นได้ โดยค่าแรงคิดเป็นสัดส่วน 20% ของต้นทุนก่อสร้างทั้งหมด

ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่เป็นที่อยู่อาศัย ภายใต้บริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด การขายถือว่าฟื้นตัวกลับมาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ยังได้รับการตอบที่ดีจากลูกค้าที่สนใจ แต่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น ทำให้การตัดสินไจซื้อชะลอตัวลงมาบ้าง ซึ่งบริษัทก็จะมีการออกแคมเปญการตลาดเพื่อกระตุ้นการขาย รวมถึงจะมีการเปิดโครงการแนวราบที่เป็นดีไซน์ใหม่ในช่วงไตรมาส 3/66 และจะเป็นโครงการที่เข้ามาเสริมรายได้ไนช่วงปลายปี 66

Back to top button