ส่องหุ้น “แบงก์-ไฟแนนซ์” เสี่ยงกระทบ “ธปท.” จ่อคุมเข็มหนี้ครัวเรือน
ส่องหุ้น “แบงก์-ไฟแนนซ์” เสี่ยงกระทบ “ธปท.” จ่อคลอดมาตรการแก้หนี้ครัวเรือน เริ่ม 1 เม.ย.67 ฟาก “บล.ดาโอ” แนะลงทุน “มากกว่าตลาด” ชี้ออกมาตรการเข้มน้อยกว่าคาด ชู TIDLOR-BBL-KTB หุ้นท็อปพิก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 ก.ค.66) ราคาหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์และแบงก์ปรับตัวลง นำโดยบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ณ เวลา 10:30 น. อยู่ที่ระดับ 37.00 บาท ลบ 1.99 บาท หรือลดลง 1.99% ราคาสูงสุด 38.00 บาท ราคาต่ำสุด 36.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 161.84 ล้านบาท
บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ณ เวลา 10:30 น. อยู่ที่ระดับ 48.50 บาท ลบ 0.50 บาท หรือลดลง 1.02% ราคาสูงสุด 49.25 บาท ราคาต่ำสุด 48.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 86.66 ล้านบาท
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ณ เวลา 10:36 น. อยู่ที่ระดับ 46.00 บาท ลบ 0.50 บาท หรือลดลง 1.08% ราคาสูงสุด 46.50 บาท ราคาต่ำสุด 45.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 71.12 ล้านบาท
ด้านหุ้นแบงก์นำโดยธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ณ เวลา 10:47 น. อยู่ที่ระดับ 134.00 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 0.37% สูงสุดที่ระดับ 134.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 133.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 284.65 ล้านบาท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ณ เวลา 10:49 น. อยู่ที่ระดับ 31.75 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 1.55% สูงสุดที่ระดับ 32.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 31.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.54 ล้านบาท
ด้านบล.ดาโอ (DAOL) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(20 ก.ค.66) ว่า จากกรณีนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.เตรียมออกมาตรการสำหรับการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ผ่านมาตรการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ที่จะมีผล 1 ม.ค. 2567 รวมถึงมาตรการแก้หนี้เรื้อรังภายใน 1 เม.ย. 2567
โดย ธปท.จะมีการออก Directional Paper ภายในไตรมาส 3/2566 ทั้งนี้มาตรการแก้หนี้เรื้อรังจะเป็นการเข้ามาดูแลในส่วนของสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving) และสินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) ที่มีลูกหนี้เข้าข่าย คือ ชำระหนี้ดอกเบี้ยสะสมมากกว่าเงินต้นมาแล้ว 5 ปี และมีรายได้น้อย ผ่านการเสนอช่องทางให้เปลี่ยนเป็น Term loan ที่จะต้องปิดจบหนี้ภายใน 5 ปี, คิดดอกเบี้ยต่ำกว่า 15% และลูกค้าจะต้องมีชื่อแท็กในเครดิตบูโร
ทั้งนี้ DAOL มองเป็น sentiment เชิงบวกจากเกณฑ์การออกมาตรการควบคุมหนี้เรื้อรัง ที่มีความผ่อนคลายมากขึ้นจากช่วงก่อนหน้า ทั้ง 1) ลูกหนี้ที่เข้าข่ายจะเป็นลูกหนี้ที่ไม่สามารถปิดบัญชีได้ภายใน 5 ปี (เดิม 4 ปี) ทำให้ปริมาณลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์การแก้ไขลูกหนี้เรื้อรังที่น้อยลง และ 2) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่น้อยลงเป็นสูงสุดไม่เกิน 10% อิงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ 25% เป็น 15% (เดิมลด 8-12%)
ขณะที่ไทม์ไลน์ยังเป็นไปตามคาดที่ ธปท. จะออกมาตรการควบคุมในไตรมาส 3/66 รวมทั้งประเมินว่าโอกาสที่จะเกิด Moral Hazard ต่ำ เนื่องจากลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะถูกติด Flag NCB ทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้จนกว่าที่จะเคลียร์หนี้จบ
สำหรับกลุ่มไฟแนนซ์ประเมินผลกระทบเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ AEONTS แนะนำถือราคาเป้าหมายเป้า 185.00 บาท และ KTC แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 68.00 บาท อิงตามสัดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล และลูกหนี้ที่จ่ายชำระขั้นต้น จาก 1.) รายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามปริมาณการช่วยเหลือ และ 2.) loan growth มีโอกาสที่ขยายตัวต่ำคาด จากแนวโน้มที่บริษัทจะเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และมีโอกาสที่ลูกหนี้จะขอเข้ามาเจรจาลดหนี้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามประเมินลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการจะน้อย และใกล้เคียงกับช่วง COVID ที่เคยให้ความช่วยเหลือเปลี่ยนเป็น Term loan (อายุสัญญา 4 ปี และคิดดอกเบี้ย 12%/22% สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล) ที่อยู่ที่ประมาณ 1-2% ของสินเชื่อรวม เนื่องจากลูกหนี้ที่เข้าร่วมจะโดนยกเลิกวงเงินสินเชื่อ และไม่มีเงินใช้ในยามฉุกเฉินได้
ทั้งนี้คงคำแนะนำกลุ่มไฟแนนช์ “มากกว่าตลาด” จากแนวโน้ม NPL ที่จะผ่านจุดสูงสุดในต้นไตรมาส 3/66 , credit cost ที่ทยอยลดลง และผลการดำเนินงานจะกลับมาเติบโตดีตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/66
โดยเลือก TIDLOR แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 33.00 บาท เป็น Top pick จากแนวโน้มสินเชื่อที่จะกลับมาขยายตัวสูงตั้งแต่ครึ่งปีหลังปี 66 และ NPL ที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว และมีระดับสำรองที่สูงถึง 4.2%
สำหรับกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นในกลุ่มธนาคารที่จะได้รับผลกระทบเรียงจากมากไปน้อย อิงสัดส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล คือ KTB สัดส่วน 23% ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของราชการ ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าบุคคลธรรมดา ส่วน BAY (11%), KBANK (9%), SCB (6%) และ TTB (4%) แต่อย่างไรก็ดีคาดว่าประเด็นดังกล่าวจะกระทบต่อกำไรสุทธิในกลุ่มไม่มาก
ขณะที่ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก BBL แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 195.00 บาท และ KTB แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 21.00 บาท เป็น Top pick