PLUS บวกแรง 4% เก็งงบ Q2 โตดี รับไฮซีซั่นธุรกิจ มั่นใจรายได้ปีนี้โต 20-30%
PLUS บวกแรง 4% เก็งงบไตรมาส 2/66 โตดี รับไฮซีซั่นธุรกิจ หนุนออเดอร์พุ่ง เริ่มบุ๊กสายการผลิตขวด PET ดันรายได้ปีนี้โต 20-30%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 ก.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS ล่าสุด ณ เวลา 11:34 น. อยู่ที่ระดับ 7.45 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 4.20% สูงสุดที่ระดับ 7.70 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 26.58 ล้านบาท
โดยก่อนหน้าหน้านี้นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ PLUS เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2566 มีทิศทางเติบโตดีกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา จากปัจจัยฤดูกาลที่เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นธุรกิจ และรายได้ที่คาดจะฟื้นกลับมาได้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งจากตลาดสหรัฐฯ ที่กลับมามีคำสั่งซื้อมากขึ้นหลังจากมีการชะลอคำสั่งซื้อในช่วงไตรมาสแรก และระดับสต๊อกสินค้าของลูกค้าเริ่มลดลง รวมถึงคำสั่งซื้อจากลูกค้าในจีนมากขึ้นจากการเปิดประเทศ
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 นี้ บริษัทคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ดีขึ้น จากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic (สายการผลิตขวดพลาสติก (PET)) และแนวโน้มการส่งออกน่าจะยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่วนแนวโน้มราคาต้นทุนวัตถุดิบคาดว่าไม่ได้แตกต่างจากปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3/2566 บริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยบวกให้ผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัว
ดังนั้น ในปี 2566 บริษัทจึงยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 20-30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,457.41 ล้านบาท แม้ในช่วงไตรมาส 1/2566 รายได้จะลดลงเหลือ 244.59 ล้านบาท ซึ่งคำมั่นสัญญาของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าในสหรัฐฯ ที่ยังมีการขยายช่องทางการจำหน่าย และทิศทางคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เชื่อว่ารายได้จะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะที่บริษัทยังมีนโยบายรักษาความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับที่มากกว่า 30% และจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ระดับมากกว่า 10% ทั้งนี้ บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic ล็อตแรกภายในไตรมาส 3/2566 ซึ่งจะทำให้เกิด Economies of Scale ต้นทุนต่อหน่วยจะลดลง โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อของลูกค้ารองรับกำลังการผลิตในสายการผลิตขวด PET ไว้บางส่วนแล้ว จะหนุนรายได้ให้เติบโตและต้นทุนทรงตัว
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ทั้งโครงการโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ขนาดกำลังการผลิต 985.36 กิโลวัตต์ (KW) ขณะนี้เริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าใช้แล้ว และในอนาคตบริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตของโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟฟ้าของบริษัทในอนาคต ส่วนนโยบายการขึ้นค่าแรงของรัฐบาลใหม่ น่าจะกระทบทั้งอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทมีแผนรับมือไว้แล้ว เช่น การลดต้นทุนอื่น ๆ การนำระบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้ในการผลิตมากขึ้น เป็นต้น
ด้านภาษีความหวานของเครื่องดื่มที่ประกาศใช้ในบางประเทศนั้น บริษัทมีสูตรผลิตความหวานน้อย สำหรับรองรับความต้องการในแต่ประเทศอยู่แล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนในประเทศฟิลิปปินส์ที่ได้มีการประกาศออกมาล่าสุดนั้น ไม่มีผลกระทบกับบริษัท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายที่น้อยมาก