RATCH ร่วง 5% โบรกหั่นเป้าหนัก 13 บาท ชี้กำไรลดตั้งแต่ปี 68
RATCH ร่วงเฉียด 5% เซ่นโบรกหั่นราคาเป้าทีเดียว 13 บาท เหลือ 33 บาท มองกำไรเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 68 เป็นต้นไป หลังกำลังผลิตลดลง และยากที่จะหากำลังผลิตใหม่มาทดแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ก.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ณ เวลา 11:08 น. อยู่ที่ระดับ 35.50 บาท ลบ 1.75 บาท หรือ 4.70% สูงสุดที่ระดับ 37.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 35.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 345.32 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ (24 ก.ค.66) ปรับลดคำแนะนำ RATCH เป็น “ขาย” จาก “ถือ” หลังทบทวนการประเมินมูลค่าอีกครั้ง หลังเสร็จสิ้นการลงทุนขนาดใหญ่บนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในปีที่แล้ว
1.เรามองว่าอัตรากำไรที่เติบโตแข็งแกร่งที่ 36/22% ในปี 66-67 นั้นมาจากเพียงแรงหนุนของการทำ M&A ซึ่งใช้เงินจากการเพิ่มทุน การเติบโตของ EPS จึงมีอัตราช้ากว่าที่ 16/22% จากผลของdilution
2.คาดว่ากำไรจะเริ่มลดลงในปี 68 จากการหมดอายุของโรงไฟฟ้า IPP กำลังผลิต 1.5GW ในปี 68 และ 2.2GW ในปี 70 (รวม 42% ของกำลังการผลิต)
3.มองว่าราคาหุ้นที่ปรับลงมาเหลือ 11 เท่า PE และอัตราตอบแทนปันผล 5% ในปี 66 นั้นยังไม่น่าสนไจ บนแนวโน้มกำไรที่ลดลงในระยะยาว จึงปรับประมาณการกำไรลง 32/26/26% ในปี 66-68 จากการทำ M&A ที่ช้าและให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดาด ราคาเป้าหมายปี 66 จึงถูกปรับลงเหลือ 33 บาท (จาก 46 บาท)
ทั้งนี้คาดว่ากำไรของ RATCH จะเติบโต 36% ในปี 66 และ 22% ในปี 67 จากการทยอยรับรู้กำไรจากการลงทุนสองโครงการล่าสุด 1.RATCH ลงทุน 2.15 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อหุ้น 100% ใน Nexif Energy ผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าระดับภูมิภาคในเอเชียแปซิฟิกไปเมื่อไตรมาส 1/66 ซึ่งทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 556MW ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและก๊าซธรรมชาติในไทย เวียดนาม อินโดนีเชีย และฟิลิปปินส์
2.RATCH ใกล้จะปิดดีล 2.54 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton P3 และ P7/8 ในอินโดนีเซีย รวมกำลังการผลิต 742MW ซึ่งน่าจะสำเร็จในไตรมาส 3/66
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเชื่อว่าการลงทุนทั้งสอง (และการซื้อโครงการพลังงานทดแทนขนาดเล็ก) ได้ใช้เงินส่วนใหญ่ของการเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้านบาท ในปี 65 ไปแล้ว การเติบโตหลังปี 67 จึงดูไม่ยั่งยืน
ทั้งนี้ คาดกำไรของ RATCH จะเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 68 เนื่องจากกำลังการผลิตทยอยลดลงจาก 8.9GW ในปี 67 เป็น 5.6GW ในปี 71 ซึ่งเทียบเท่าอัตราลดลง 11% ต่อปี ในช่วงสี่ปีดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุส่วนใหญ่ (รวม 3.6GW) ยังเป็นโรงไฟฟ้า IPP และ SPP ที่มีอัตรากำไรสูง จึงมองว่าเป็นการยากที่ RATCH จะสามารถหากำลังการผลิตใหม่ได้เพียงพอเพื่อทดแทนกำไรที่ลดลงดังกล่าว และคาดว่ากำไรของ RATCH จะลดลงเฉลี่ย 9% ต่อปี ในช่วงปี 67-71
นอกจากนี้ มีมุมมองเป็นลบต่อการกระจายการลงทุนของ RATCH ไปยังธุรกิจที่ไม่โรงไฟฟ้า (มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้า และโรงพยาบาล) เนื่องจากเห็นมองว่าธุรกิจเหล่านั้นให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า และไม่คิดว่า RATCH จะสามารถใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่มีอยู่เพื่อได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากการร่วมลงทุนเหล่านี้ ฝ่ายวิจัยกลับมองว่าการเลือกขยายการลงทุนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของ RATCH ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า