IIG พุ่งกระฉูด 12% เก็งงบ Q2 ฟื้นตัว พ่วงราคาลงลึก โบรกชูเป้า 25 บ. อัพไซด์สูง 29%
IIG พุ่งกระฉูด 12% เก็งงบไตรมาส 2/66 ฟื้นตัว พ่วงราคาหุ้นลงลึก มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโตมากกว่า 40% แตะ 1,400 ล้านบาท โบรกชูเป้า 25 บาท อัพไซด์สูง 29%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ก.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IIG ณ เวลา 11:58 น. อยู่ที่ระดับ 19.40 บาท บวก 2.10 บาท หรือ 12.14% สูงสุดที่ระดับ 17.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 15.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20.96 ล้านบาท
บล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า IIG คงคำแนะนำ “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายที่ 25.00 บาท ธุรกิจยังเดินหน้าตามแผนงานเดิม โดยสรุปประเด็นสำคัญดังนี้ 1.) โครงการใหญ่ของรัฐวิสาหกิจที่ส่งมอบไม่ได้ในไตรมาส 1/66 จะทยอยส่งมอบในไตรมาส 2/66 ซึ่งจะทำให้ GPM โดยรวมกลับมาขยายตัวได้
2) มีหลายโครงการกำหนดส่งมอบในไตรมาส 2/66 ทำให้มีบุคลากรกลับมารับงานเพิ่มได้มากขึ้น คาดเห็นการเร่งตัวขึ้นของ backlog ในครึ่งหลังปี 66 ,3.) การ JV กับ VMO เพื่อขยายธุรกิจ CRM/ERP ในเวียดนามคาดชัดเจนในไตรมาส 3/66 เบื้องต้นจะถือหุ้นในระดับ 50%
4.) IV (JV กับวิริยะประกันภัย) เริ่มเปิดตัวเชิงพาณิชย์(commercial launch) ในเดือนนี้ โดยเริ่มต้นด้วยบริการตรวจสอบสภาพรถผ่านเทคโนโลยี AI สนับสนุนการขายก่อน ตามมาด้วยบริการเป็น platform ช่วยเคลมประกัน ในขณะที่ product อื่น Health Insurance Tech และ AI voice assistance จะเปิดตัวตามมาในปี 66 ทั้งนี้ยังคงประมาณการผลประกอบการปกติปี 66 ขาดทุน 54 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามแนวโน้มไตรมาส 2/66 คาดฟื้นตัวได้เทียบไตรมาสก่อนหน้า จาก GPM ที่กลับมาขยายตัวหลังทยอยส่งมอบงานได้มากขึ้น
ด้านราคาหุ้น underperform SET ราว 49% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาคาดมาจากแนวโน้มผลประกอบการที่ลดลงทุกไตรมาสในปี 65 จนถึงไตรมาส 1/663 ซึ่งพลิกขาดทุน แนวโน้มการ perform ของหุ้นในอนาคตขึ้นอยู่กับ GPM จะสามารถกลับมาขยายตัวได้มากและเร็วเพียงใด แม้ผลประกอบการเราประเมินจะทยอยฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2/66 อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดจะรอดูพัฒนาการของประเด็นดังกล่าวและทำให้การกลับไป outperform ของหุ้นต้องใช้เวลาจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ”
โดยก่อนหน้านี้นายสมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IIG เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมเข้าร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture หรือ JV) กับ VMO Holdings Technology Joint Stock Company ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้าน IT Outsource ยักษ์ใหญ่ในประเทศเวียดนาม โดยเหตุผลสำคัญที่บริษัทเลือกลงทุนใน VMO เนื่องจาก VMO มีประสบการณ์ในการให้บริการลูกค้าเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่บริษัทสตาร์ตอัพไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
ขณะเดียวกัน VMO ยังมีสำนักงานในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และไทย ที่สามารถรองรับการให้บริการลูกค้าได้ทั่วโลก และทีมผู้บริหารของ VMO มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ประกอบกับประเทศเวียดนามมีการปูพื้นฐานทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งมาก ทั้งจากการสนับสนุนของภาครัฐ และการร่วมมือของภาคเอกชน
ทั้งนี้ จึงทำให้บริษัทมั่นใจว่าการลงทุนในครั้งนี้จะสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้ในระยะยาว โดยการจัดตั้งบริษัท Joint Venture ดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2566 นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจา เพื่อเข้าลงทุนในกิจการอื่นในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญสำหรับการสร้างศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคต อย่างไรก็ตาม จากแผนการเติบโตของบริษัทที่มุ่งเน้นการเติบโตจากธุรกิจเดิมของบริษัท (Organic Growth) ในกลุ่ม CRM และ ERP รวมถึงธุรกิจใหม่ อาทิ MarTech, InsureTech และ HealthTech บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับปี 2566 บริษัทคาดการณ์ว่ายังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าผลประกอบการปี 2566 จะมีรายได้เติบโตมากกว่า 40% หรือประมาณ 1,400 ล้านบาท จากการเติบโตของธุรกิจเดิมของบริษัท อีกทั้งรายได้เสริมจากธุรกิจใหม่ อาทิ MarTech, InsureTech และ HealthTech รวมถึงรายได้ที่หนุนเพิ่มจาก Lansing ในขณะเดียวกัน บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนขยายกิจการในอนาคตทั้งในและต่างประเทศด้วยเช่นกัน เพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัท และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น