กนง.นัดส่งท้ายปีมีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50%
กนง.นัดส่งท้ายปีมีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50%
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการ กนง.แถลงว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 8/2558 ในวันที่ 16 ธ.ค. 58 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50%
โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่าภาวะการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนยังเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังต้องดูแลเสถียรภาพการเงิน และโอกาสที่ตลาดการเงินจะมีความผันผวนสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ แต่ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง และภาวะตลาดการเงินโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับในระยะต่อไป คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินยังควรอยู่ในระดับผ่อนปรนอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง และพร้อมที่จะใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ
ทั้งนี้ กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/58 และเดือน ต.ค.58 ฟื้นตัวในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ทำได้ดีต่อเนื่อง การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวจากการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าจำเป็น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ทยอยปรับดีขึ้นจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกสินค้ายังคงหดตัวต่อเนื่อง และในระยะต่อไปยังเผชิญความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและเอเชีย รวมทั้งแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ประกอบกับผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ช่วยให้การขยายตัวของเศรษฐกิจปี 58 ในภาพรวมมีแนวโน้มปรับดีขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้เล็กน้อย และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 59 ใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้
ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อปรับลดลงเล็กน้อยจากการประชุมครั้งก่อน ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบในปัจจุบันยังมีแนวโน้มที่จะทยอยปรับสูงขึ้นและกลับเป็นบวกในช่วงครึ่งแรกของปี 59 ตามผลของฐานราคาน้ำมันสูงที่จะหมดไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯประเมินว่าความเสี่ยงของการเกิดภาวะเงินฝืดมีจำกัด เนื่องจากอุปสงค์ยังขยายตัว และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก ซึ่งสะท้อนว่าราคาสินค้านอกกลุ่มพลังงานส่วนใหญ่มีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับสูงขึ้น สอดคล้องกับการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะปานกลางของสาธารณชน